
บทความ
เส้นทางสายไหม ยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลา
คุณ ...เรื่อง
คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...ภาพ
ใครจะปฏิเสธเมื่อมีโอกาสเดินทางไปตาม “เส้นทางสายไหม” ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าโบราณที่เชื่อมโยงโลกตะวันออก-ตะวันตกเข้าด้วยกัน เส้นทางสายไหมนี้ยาวไกลกว่า 8,000 กม. เริ่มต้นจากซีอาน เมืองหลวงของมณฑลฉ่านซี มุ่งไปทางตะวันตก ผ่านมณฑลกานซู จากนั้นจึงเลียบเลาะไปตามเทือกเขาฉีเหลียนซาน ผ่านระเบียงฉนวนเหอซี ไปจนถึงทะเลทรายโกบี หลังจากนั้น เส้นทางสายไหมก็ตัดเข้าสู่ประเทศในเอเชียกลาง คือ เปอร์เซีย แบกแดด ไปจนถึงกรุงคอนสแตนติโนเปิลแห่งอาณาจักรโรมันตะวันออก ซึ่งปัจจุบันคือกรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี เพราะเส้นทางสายนี้ยาวไกลเกินกว่าจะเที่ยวได้หมดในระยะเวลาจำกัด แม้กระทั่งเฉพาะในเขตปกครองพิเศษซินเจียงอุยกูร์ ซึ่งเส้นทางสายไหมพาดผ่าน ก็ยังกว้างใหญ่เกินจะเที่ยวได้หมดภายใน 1 ทริป ผมจึงเลือกเดินทางไปตามเส้นทางสายไหมสายเหนือ ซึ่งชาวจีนเรียกว่าเป่ยเจียง เส้นทางนี้อยู่ทางตอนเหนือของเทือกเขาเทียนซาน อากาศเย็นสบายน่าเที่ยว และมีเสน่ห์ที่วัฒนธรรมผสมผสานของกลุ่มชนหลากหลาย สำหรับคนรักธรรมชาติ มีหงส์ นกกระเรียน เป็ดป่า ให้เฝ้าชม ส่วนภูมิประเทศนั้นก็สวยงามด้วยทะเลสาบหลากสีและทุ่งหญ้าระบัดใบ ยิ่งในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ดอกไม้ป่านานาพันธุ์กำลังเบ่งบานเต็มท้องทุ่ง อีกทั้งโมงยามในช่วงนี้ กว่าฟ้าจะมืดมิดก็ล่วงเข้าสี่ทุ่ม ทำให้เรามีเวลาท่องเที่ยวได้นานกว่าช่วงเวลาอื่นๆ อีกด้วย

จากกวางตุ้งสู่อุรุมชี
จากกรุงเทพฯ เครื่องบินพาเรามาถึงกว่างโจว เมืองหลวงของมณฑลกว่างตง หรือที่คนไทยมักเรียกว่ากวางตุ้งนั่นแหละครับ หลังจากพักผ่อนแล้ว วันรุ่งขึ้น เราก็ลุยเที่ยวกันเลยครับ
ช่วงเช้าของวันแรก เราไปเคารพบรรพบุรุษของตระกูลเฉินแห่งมณฑลกว่างตงที่เฉินเจียฉือ หรือศาลบูชาบรรพบุรุษตระกูลเฉิน ศาลบูชาแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง เมื่อประมาณ 120 ปีมาแล้ว ความงดงามของงานแกะสลักอิฐสีเขียว งานจำหลักหินแกรนิต ทั้งเครื่องปั้นดินเผาและตุ๊กตาจีนร่ายรำที่ประดับหลังคาอาคาร ทำให้เฉินเจียฉือได้รับการยอมรับว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปกรรมแห่งมณฑลกว่างตงเลยละครับ
หลังอาหารเที่ยงคือเวลาของการเหินฟ้าสู่อุรุมชี ที่เรามักเรียกว่าอูรูมูฉี เมืองนี้เป็นเมืองหลวงของเขตปกครองพิเศษซินเจียงอุยกูร์ ที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกไกลของจีน ไกลขนาดเดินทางด้วยเครื่องบินแล้วยังใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมงเลยทีเดียว!
อุรุมชีเป็นคำในภาษามองโกล แปลว่าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าอันแสนงาม เมื่อดูแผนที่แล้วผมไม่สงสัยเลยครับว่าทำไมเมืองหลวงของเขตปกครองตน เองในประเทศจีนจึงมีชื่อเป็นภาษามองโกล ก็เพราะเมืองนี้
อยู่ห่างจากมอง -โกเลียไม่มากนัก นอกจากมองโกเลียแล้วซินเจียงยังถูกรายรอบด้วยประเทศ อื่นๆ อีกคือ รัสเซีย คาซัคสถาน ทาจิกิสถาน อุซเบกิสถาน คีร์กิสถาน ปากีสถาน และอัฟกานิสถาน ซึ่งในทริปนี้ เราจะเลียบเลาพรมแดน ถึง 3 ประเทศ คือ รัสเซีย มองโกเลีย และคาซัคสถาน
อุรุมชีเป็นเมืองหลวงขนาดใหญ่ ความพิเศษของเมืองนี้คือเป็นเมืองหลวงที่อยู่ห่างไกลจากชายฝั่งทะเลมากที่สุดในโลก ขนาดทะเลที่ใกล้ที่สุดก็ห่างออกไปถึง 2,250 กม. แถมยังเป็นเมืองเดียวในซินเจียงที่มีชาวฮั่นอาศัยอยู่มากที่สุด ส่วนเมืองอื่นๆ นั้น ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอุยกูร์ และชนเผ่าอื่นๆ เช่น ชาวหุย คาซัค ฮั่น ทาจิก คีร์กีส มองโกล ฯลฯ
หลังอาหารค่ำ ผมออกไปเดินชมตลาดเอ้อต้าวเฉียว ซึ่งคึกคักด้วยพ่อค้าแม่ขาย สินค้าเด่นๆ ของซินเจียงมีให้เลือกจับจ่าย ทั้งหยกขาว มีดพก บัวหิมะตากแห้ง ลูกเกด ฯลฯ สำหรับนักช็อป ต้องบอกว่าตลาดนี้น่าสนใจครับ
คาน่าซือ...คือ “จานผสมสีของเทพเจ้า
มาถึงเป่ยเจียง ถ้าไม่ได้ยลความงามของทะเลสาบคาน่าซือ ก็เหมือนกับมาไม่ถึง ทะเลสาบคาน่าซือมีสมญานามว่า “จานผสมสีของเทพเจ้า” เพราะสีสันของน้ำในทะเลสาบจะเปลี่ยนแปรไปตามช่วงเวลาที่แสงตะวันสาดส่องลงมา ตั้งแต่เหลืองทอง เขียวสด ฟ้าคราม ไปจนถึงชมพูเจือแดง
ทะเลสาบแห่งนี้แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า อุดมด้วยสรรพสัตว์และพืชพรรณ มีเรื่องเล่าว่า ในทะเลสาบเป็นที่อยู่ของปลาเจ๋อหลอกุยซึ่งเป็นแซลมอนยักษ์พันธุ์หนึ่ง ตัวใหญ่ขนาดกลืนกินลูกวัวได้ทั้งตัวได้เลยทีเดียวละครับ แต่ก็ยังไม่เคยมีใครเห็นมันเลยสักครั้ง
ผมกำลังยืนอยู่บนจุดชมวิว ณ พลับพลาชมมัจฉา หรือกวนยวีถิง บนความสูง 2,030 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ในวันที่ฟ้าสดใสนอกจากทะเลสาบสีครามสวยแล้ว ยังได้เห็นความงามของภูเขาอัลไตที่ทอดยาวสุดสายตา ผืนป่าสนเขียวเข้ม รวมทั้งยอดเขาหิมะโหย่วอี้เฟิง ซึ่งเป็นปราการกั้นแผ่นดินจีน-รัสเซียอีกด้วย


เยือนปู้เอ่อจินก่อนไปเมืองปีศาจ
อีกหนึ่งจุดหมายของเราคือเมืองปู้เอ่อจิน ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลสาบคาน่าซือลงไปทางทิศใต้ ระหว่างทางเราได้แวะเที่ยวหาดห้าสี ในยามบ่ายที่แสงอาทิตย์ส่องเฉียงลงมา ผมมองเห็นก้อนหินที่ระเกะระกะริมฝั่งน้ำคาเอ่อฉีสือเหอมีสีสันหลากหลาย สวยงามสมคำร่ำลือ
แล้วเราก็มาถึงเมืองปู้เอ่อจินในตอนบ่ายแก่ๆ เมืองนี้เป็นเมืองขนาดย่อม แวดล้อมด้วยภูเขาสูง ที่ราบ และทะเลทราย ขึ้นชื่อในฐานะเป็นแหล่งอาศัยของปลาน้ำเย็น ซึ่งมีเนื้อนุ่มและมีกลิ่นหอมชวนกิน แน่นอนว่าอาหารมื้อค่ำของเราต้องมีปลาน้ำเย็นตั้งอยู่บนโต๊ะ อร่อยสมคำร่ำลือจริงๆ ครับ
วันรุ่งขึ้น เราออกเดินทางไกลอีกครั้ง ระยะทางราวๆ 420 กม. เราก็มาถึงหุบผาหมอเกว่ยเฉิง เมืองปีศาจ หรือวู่เอ่อเหอเฟิงเฉิง ซึ่งเป็นหุบผาหินทรายสูงตระหง่าน ยามต้องแสงตะวันในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน จะมีสีสันเปลี่ยนแปรไป ความงามนี้แฝงไว้ด้วยความน่ากลัวสำหรับคนเดินทางยุคเก่าก่อน เพราะเมื่อกระแสลมพัดผ่านเข้ามาปะทะกับซอกหิน จะเกิดเสียงหวีดหวิวคล้ายปีศาจกำลังโหยหวน ชวนให้รู้สึกสะพรึงกลัว นี่เองที่เป็นที่มาของชื่อเมืองเคอลามาอี แหล่งน้ำมันดิบกลางทะเลทราย
ระยะทางอีก 100 กม. ลงมาทางใต้ เรามาถึงเมืองทันสมัยกลางทุ่งน้ำมัน ชื่อเมืองเคอลามาอี หรือคาราเมย์ ไม่น่าเชื่อครับว่าท่ามกลางผืนทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ลึกลงไปใต้ดินคือน้ำมันดิบที่นำรายได้มหาศาลมาสู่ประเทศจีน
นอกจากเที่ยวชมตัวเมือง เรายังไปเยือนเฮยโหยวซาน หรือภูเขาน้ำมันสีดำ ซึ่งเป็นจุดที่พบน้ำมันดิบครั้งแรกเมื่อราวๆ พ.ศ. 2498 ทุกวันนี้น้ำมันดิบสีดำข้นยังผุดขึ้นจากใต้ดินอยู่เลยครับ

