
บทความ
จากศาลเจ้าองเชียงสือ เราไปเยือนฐาน A1 ลักษณะเป็นเนินสูงใจกลางเมือง มองเห็นเดียนเบียนฟูได้รอบทิศทาง
หลังตกเป็นอาณานิคม ฝรั่งเศสก็เข้ามาแสวงหาประโยชน์บนแผ่นดินเวียดนาม สร้างความอัดอั้นตันใจแก่หนุ่มสาวชาวเวียดที่ได้รับการศึกษาในต่างประเทศ นำมาสู่การก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน โดยโฮจิมินห์ ชายหนุ่มนักหนังสือพิมพ์ซึ่งพำนักอยู่ที่ปารีส
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เวียดนามประกาศตนเป็นอิสระ ทว่าฝรั่งเศสไม่ยอมรับ จึงนำมาสู่สงครามอันดุเดือดยาวนานทั่วอินโดจีนที่ฐาน A1 นี้ ฝรั่งเศสติดตั้งปืนใหญ่ ทั้งยังเตรียมพลร่มและเครื่องบินทิ้งระเบิด หวังจะให้เป็นหลุมพรางล่อทหารเวียดมินห์มาติดกับ ทว่า
การณ์กลับตรงข้าม ฐานถูกปืนใหญ่ฝ่ายเวียดมินห์รายล้อมระดมยิงใส่ สนามบินและการสนับสนุนทางอากาศไม่สามารถใช้การได้ ทั้งเสบียงอาหาร อาวุธ หรือแม้แต่เครื่องหมายยศนายพลซึ่งทิ้งร่มลงมา ก็ถูกยึดไป
วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2497 ล่วงวันที่ 53 ทหารฝรั่งเศสก็ยอมจำนน นำไปสู่สนธิสัญญาเจนีวา โดยสหรัฐอเมริกาเข้ามามีบทบาท บีบให้แบ่งเวียดนามออกเป็นเหนือ-ใต้
3 ปีให้หลัง ด้วยข้ออ้างในการสกัดกั้นลัทธิคอมมิวนิสต์ สหรัฐอเมริกาก็กระโจนเข้าสู่สงครามเวียดนาม และนำไปสู่ความพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายในเวลาต่อมา
วันถัดมา เราแวะมาที่ฐานเดอ คาสตรีส์ ฐานบัญชาการของฝรั่งเศสที่กล่าวได้ว่า สำคัญสุดในเวียดนาม ที่นี่เอง ที่นายพลหวอ เหวียน ย้าบ นายทหารคู่ใจโฮจิมินห์ ทำให้โลกต้องตกตะลึงด้วยการเอาชนะเจ้าอาณานิคม ส่งผลให้ภูมิภาคอินโดจีนเป็นอิสระจากฝรั่งเศส
จากฐานเดอ คาสตรีส์ เราไปเยือนกองบัญชาการเวียดมินห์ ซึ่งอยู่ห่างไปทางทิศตะวันออกราว 20 กิโลเมตร ถิ่นอาศัยของชาวไทยดำ ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ทั้งโขดหิน ซอกหลืบ ภูเขา ล้วนเป็นชัยภูมิอันเหมาะสมในการวางแผนและเคลื่อนไหว อาณาบริเวณถูกจัดแบ่งเป็นสัดส่วน ทั้งกองบัญชาการ ห้องปฐมพยาบาล โรงนอน โรงอาหาร และอุโมงค์หลบภัยทางอากาศ
ไม่ไกลจากกองบัญชาการ มีแผ่นหินจารึกวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1954 ถึงวันที่ 15 พฤษภาคมในปีเดียวกัน ว่า ณ ที่นี้ เป็นเวลานานถึง 4 เดือน 15 วัน ที่นายทหารเวียดมินห์ได้ทุ่มเทหยาดเหงื่อและเลือดเนื้อเพื่อขับไล่ฝรั่งเศส กว่าจะได้อิสรภาพและความเป็น “ไท” คืนกลับมา...

ตะวันบ่ายคล้อย เราเดินจากฐานบัญชาการเวียดมินห์มาทางหมู่บ้านไทยดำ ตะวันกำลังลอยต่ำ ฉายแสงทองอาบท้องนาและบ้านเรือนซึ่งสร้างอย่างน่าชมด้วยไม้ เย็นวันนั้น เรามีโอกาสไปเยือนเรือนไทยดำที่บ้านเพียงเลย ในช่วงแรก คุณอุดมทำหน้าที่ล่ามถ่ายทอดความ ทว่าเพียงครู่ก็นั่งยิ้มสบายใจ เพราะถ้อยคำหลายคำนั้นเหมือนภาษาไทย
เนิ่นนานกว่า 2,000 ปีแล้วที่ชาวไทยดำอาศัยอยู่ที่นี่ เดียนเบียนฟูคือหนึ่งในบ้านของพวกเขาและเราชาว “ไท” ทั้งหลาย แม้ไม่ได้ถือพุทธ ทว่าชาวไทยดำบูชาบรรพบุรุษด้วยศรัทธาอันบริสุทธิ์ พวกเขายังคงสอนลูกหลานให้รำลึกถึงคุณของน้ำและนา ดั่งภาษิตที่ว่า “ได้กินข้าวอย่าลืมเสื้อนา ได้กินปลาอย่าลืมเสื้อน้ำ”
ค่ำคืนนั้น หลังห่างถิ่นที่อันคุ้นเคยมาหลายวัน ในแวดล้อมชาวไทยดำ ถ้อยคำ รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางญาติมิตรเมืองไกล
เราจากเดียนเบียนฟูมาขณะตะวันฉาย ทะเลสาบห่มไอหมอก ทิวเขาสีครามกระจ่างตา สองข้างทางเรียงรายไปด้วยต้นไม้ ถนนทอดไปในท้องทุ่งกว้าง แม้จะเป็นปลายฤดูแล้ง ทว่าท้องทุ่งยังปูลาดด้วยข้าวกล้าเขียวขจี คุณอุดมบอกว่า เดียนเบียนฟูทำนาได้ปีละ 4 ครั้ง
ช่วงต่อมา ถนนเลียบแม่น้ำดำ มองเห็นกรวดหินเกลื่อนท้องน้ำ หมู่บ้านไทยดำปรากฏอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ คุณอุดมบอกว่า ข้างหน้ามีโครงการสร้างเขื่อนชงค่า ตัวเมืองเก่าและหมู่บ้านจึงต้องย้ายมายังที่ใหม่
ร่วม 30 กิโลเมตรที่ถนนเลียบทะเลสาบ เมื่อลาดลงหุบเขา ไลโจวเมืองใหม่ก็ปรากฏ เราแวะกินมื้อเที่ยงที่นี่ ไม่มีใครเอ่ยถึงอาหาร ถนนแปดเลนกับผังเมืองใหม่เอี่ยมนั้นให้รสชาติมากกว่า

15.32 นาฬิกา เราบอกลาไลโจว บ่ายหน้าขึ้นเขาสูงอีกครั้ง ป้ายริมทางเขียนว่า “ซาปา 70 กิโลเมตร” ถนนโค้งขดขึ้นไปบนไหล่เขาสูง หุบเหวยิ่งลึกลิ่ว อากาศยิ่งหนาวเย็น เมฆคล้ายลอยลงมาใกล้ ถึงความสูงราว 2,000 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง รอบตัวก็เลือนราง คล้ายกำลังเดินทางอย่างไร้จุดหมาย...
17.43 นาฬิกา เหมือนจู่ๆ เมืองก็ปรากฏกลางม่านหมอก ดวงไฟหลากสีสลัวราง นักเดินทางหลากสัญชาติแบกเป้ดุ่มเดิน อาคารปูนห้าหกชั้นเบียดเสียดสองฟากไหล่เขา แต่ละคูหาแขวนป้ายภาษาอังกฤษ ระบุโรงแรม เกสต์เฮาส์ ร้านขายอุปกรณ์กลางแจ้ง ร้านเช่าสูท ร้านไวน์ ร้านอาหารวิวภูเขา
“ยินดีต้อนรับสู่ซาปาครับ” ลุงหยุง-เจ้าถิ่นซึ่งรอพวกเราอยู่ เอ่ยเบาๆ ราวกับเกรงว่าม่านหมอกจะเลือนหาย
รุ่งเช้า อุณหภูมิลดลงมาที่ 5.5 องศาเซลเซียส ละอองฝนยังโปรยปราย ผมสวมเชิ้ตตัวหนา ฝ่าสายฝนเย็นเยือกไปที่ตลาดเช้า อากาศคล้ายอุ่นขึ้นเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนขวักไขว่ เหมือนเช่นทุกๆ ชาติ ตลาดเช้ามากด้วยเรื่องราว พืชผักท้องถิ่น ผลไม้นานา ดอกไม้ รอยยิ้มและถ้อยโอภาปราศัย
จากตลาดเช้า ผมเดินตามทางซึ่งทอดลดหลั่นขึ้นไป ผ่านโบสถ์คริสต์-สัญลักษณ์ประจำเมือง และบ้านพักสไตล์ฝรั่งเศสซึ่งสร้างด้วยหินสีขาว“แต่ก่อนที่นี่มีแต่ม้งอาศัย พอฝรั่งเศสได้ข่าวว่ามีแร่ ก็ตัดถนนขึ้นมา สร้างบ้านพัก สร้างโบสถ์ ต่อมาก็กลายเป็นที่พักผ่อนด้วย เพราะบางปีมีหิมะตก อากาศเย็นสบาย” ลุงหยุงเล่า
เราไปเยือนบ้านชาวม้งหลายหมู่บ้าน ภาพนาขั้นบันไดโค้งขดลดหลั่นไปทั่วทิวเขานั้นกล่าวได้ว่างดงามตรึงตรา
ถึงหมู่บ้านคัตคัต เราเดินไปชมน้ำตกเตียนซา หรือ “ที่ประทับของเทพ” ในความหมายของชาวม้ง เตียนซาหมดจดสมดั่งชื่อ แม้จะถูกรบกวนด้วยสิ่งก่อสร้างอย่างโรงปั่นไฟ-เสาไฟฟ้าในยุคขุดหาแร่ ลุงหยุงเล่าว่า ดีบุกและสังกะสีเนรมิตสิ่งเหล่านี้ ไฟฟ้าถูกส่งไปป้อนเครื่องทำน้ำอุ่น หลอดไฟ และสิ่งอำนวยความสะดวกเท่าที่จะมีได้ ขณะชาวม้งรอบๆ อาศัยในกระท่อมไม้ไผ่มุงหญ้าคา
เราจากที่นั่นมาขณะหมอกยังห่มคลุม ชั่วโมงถัดมาเราก็ล่ำลาคุณอุดมและลุงหยุง-มิตรอาวุโสแห่งซาปา
คล้ายวันแรกที่มาเยือน จู่ๆ ซาปาก็เหมือนเลือนหาย ม่านหมอกกลืนกลบทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง
ล่วงวันที่ 6 แล้ว ที่เราเดินทางมาจากเชียงราย
ออกจากซาปา ถนนก็ไต่ความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงลาวกายเมืองใหญ่ชายแดน เราข้ามแม่น้ำแดงไปประทับตราหนังสือเดินทาง ผ่านด่านเหอโข่ว เราก็เข้าสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน
เพียงข้ามแม่น้ำแดงมา ผมก็พบว่าอารมณ์รับรู้ของตนเปลี่ยนไป ตลอด 4 วันที่รอนแรมในแผ่นดินจีนคล้ายกำลังเดินทางยาวไกลไร้จุดสิ้นสุด แม้สองข้างทางจะงดงามด้วยขุนเขา ผลิพราวไปด้วยดอกไม้ ไร่ท้ออวดดอกสีชมพูอ่อนหวาน ทุ่งมัสตาร์ดบานดอกดารดาษ ปูลาดผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ด้วยสีเหลืองสดใส ทว่าความรู้สึกดังกล่าวก็ไม่คลี่คลาย...
ในวันที่ 10 ขณะเดินทางบนภูเขาสูงชัน ถึงทางโค้งช่วงหนึ่ง รถของเราก็ตกจากไหล่ถนน ทำอย่างไรก็ไต่กลับขึ้นไปไม่ได้ ทำได้เพียงรอคอยรถสักคันผ่านมา เราทยอยลงจากรถ ทันทีที่เปิดประตู ลมหนาวเหน็บก็กระโชกอาบเนื้อตัว
“เรามาไกลมากแล้ว” จู่ๆ ความรู้สึกนี้ก็แวบผ่านเข้ามาขณะขุนเขาห่มหิมะปรากฏเบื้องหน้า ทิวสนเอนไหว ดอกไม้ป่าเอนลู่ราวกับจะปลิดปลิว โมงยามนั้นเองที่ผมอยากถนอมดอกไม้ทุกดอกตรงหน้าไว้
รับรู้ว่า “ดอกไม้” ที่รอคอยอยู่มีความหมายมากเพียงใด




