
บทความ
ขุนเขาและดอกไม้
บนเส้นทางเชียงราย-ยูนนาน
คุณธเนศ งามสม...เรื่อง
คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...ภาพ
10 วันที่แล้ว เรามาพบกันที่เชียงของ อำเภอเล็กๆ ในจังหวัดเชียงราย
“เรา” หมายถึงคน 6 คน ซึ่งเดินทางมาจากต่างที่ต่างถิ่น ทว่ามีจุดหมายร่วมกัน คือมณฑลยูนนาน จีนตอนใต้
“ไม่มีอะไรคาดเดาได้ชัดเจน เพราะเราไม่เคยใช้เส้นทางนี้กันมาก่อน” ใครคนหนึ่งในคณะเอ่ย น้ำเสียงราบเรียบ ทว่าดวงตาเป็นประกาย
สำหรับผู้ชื่นชอบพานพบโลกกว้าง พูดได้ว่า จากเชียงของ ผ่านลาวเหนือ เวียดนาม ซาปา ไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ คือเส้นทางที่ใครหลายคนกระหายใคร่ออกเดินทาง
สำหรับคณะของเรา กล่าวได้ว่า นี่คือหนึ่งในความฝัน มันจะหอมหวานและเย้ายวนใจเพียงใด หากได้รอนแรมไปบนทางสายนี้
และสำหรับผม ในยามที่ชีวิตมีแง่มุมให้ครุ่นคิด การเดินทางไกลอาจเป็นดั่ง “แว่น” ที่ช่วยกรองภาพบางภาพให้กระจ่างชัด ปราศจากมายาคติ นิยาม หรือความคาดหวังใดๆ
ใครบางคนกล่าวไว้ว่า การจะข้ามพ้นบางสิ่งก็คล้ายการข้ามแม่น้ำสักสาย คงเป็นความจริง ผมทบทวนนิยามนี้ในใจ ขณะเรือลำน้อยพาข้ามสายน้ำโขงอันกว้างใหญ่
เรือน้อยพาเรามาขึ้นฝั่งเมืองห้วยทราย สาธารณรัฐประชาธิป ไตยประชาชนลาว ผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง เราก็แบกสัมภาระกลืนไปกับผู้คนหลากเชื้อชาติ ที่มุมหนึ่งของท่าเรือ รถตู้ป้ายทะเบียนลาวจอดรอเราอยู่ เก็บสัมภาระใบโตเรียบร้อย รถตู้สีขาวสภาพจวนเก่าก็วิ่งชิดเลนขวา บ่ายหน้าออกจากท่าเรือ
“สบายดีทุกๆ ท่าน มื้อนี้เราจะอยู่บนรถกันตลอด ทางจะโค้ง
ขึ้นภูไปถึงอุดมไชยโพ้น” ท้าวทอง-ผู้รับหน้าที่สารถี กล่าวต้อนรับด้วยภาษาลาว สองข้างทางปรากฏทิวเขาห่มหมอกขาว บรรยากาศต่างที่ต่างถิ่นทำให้ใจของเราตื่นเพริด ทางภูเขาเบื้องหน้ากลายเป็นความรื่นรมย์รอให้พบเผชิญ

เราบ่ายหน้าไปตามทางลาดยางเก่ากร่อน ทิวทัศน์ข้างทางและท้องทุ่งดึงดูดทั้งดวงตาและอารมณ์ ล่วงผ่านชั่วโมงแรก เรามาถึงตัวเมืองห้วยทราย ชุมชนเล็กๆ ระหว่างทาง ท้าวทองจอดรถให้เราลงไปชมตลาด ซึ่งวางเรียงด้วยพืชผักนานา
จากตลาดห้วยทราย ถนนทอดผ่านทุ่งกว้าง ท้าวทองชี้ให้ดูจุดสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ ซึ่งจะเชื่อมเชียงของกับห้วยทรายเข้าด้วยกัน ถึงวันนั้น ถนนเก่ากร่อนคงหายไป หลายสิ่งคงมาเยือนห้วยทราย



ท้องฟ้าเริ่มกระจ่าง เส้นทางทอดขึ้นลงภู ผ่านบ้านลาวห้วย-หมู่บ้านชนเผ่าซึ่งสร้างเรือนอยู่ในหุบดอย ถึงบ้านน้ำฟ้า เราแวะพักคนและรถ ไปต่อไม่ไกลก็เข้าแขวงหลวงน้ำทา
ขณะข้ามแม่น้ำเพื่อไปต่อ ภาพดอกไม้ช่อหนึ่งและถ้อยคำบางคำก็แวบผ่านเข้ามา ความรู้สึกบางอย่างค่อยๆ ก่อรูปเค้าโครง มันเป็นอารมณ์ที่ยากจะควบคุม เมื่อพบว่าตนเองกำลังจากบางสิ่งมา ขณะหนทางข้างหน้าทอดยาวไกลออกไป
ข้ามแม่น้ำสายนั้นมา ตลอดครึ่งวัน เราใช้เวลาอยู่บนถนนทอดขึ้นลงภู จนตะวันเริ่มคล้อย เราจึงมาถึงเมืองไชย แขวงอุดมไชย
ท้าวทองพาขึ้นไปชมวัดพูทาดซึ่งประดิษฐานบนยอดภู มองจากบันไดนาค เมืองไชยแทรกตัวอยู่ในที่ราบแคบๆ มองเห็นป้ายอักษรลาวและจีนเปิดไฟสว่างเรือง ท้าวทองบอกว่า ชายแดนจีนอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ยามค่ำคืน เมืองไชยเงียบสงบ ขณะออกไปกินมื้อค่ำ เราพบนักเดินทางต่างชาติน้อยราย ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนที่เข้ามาค้าขาย
รุ่งเช้า เมืองไชยห่มหมอกหนาวเย็น เราจากที่นั่นมาขณะพระออกบิณฑบาต ถนนคดโค้งไต่เลาะขึ้นไป ขณะเบื้องล่าง แม่น้ำพากทอดสายราวภาพลวงตา บ้านเรือนชาวลาวสูงปรากฏเป็นระยะ ข้ามสะพานอีกครั้ง เราก็เข้าสู่แขวงพงสาลี
ที่เมืองขวา-เมืองชุมทางริมแม่น้ำอู เราต้องรอแพขนานยนต์เพื่อข้ามไปยังชายแดนเวียดนาม ขณะเดินสำรวจริมฝั่ง นอกจากโรงแรมขนาดย่อม ห้องกานไปรษณีย์ และนักเดินทางชาวยุโรป ผมพบเรือโดยสารไปหลวงพระบาง
ระหว่างไต่ถามเที่ยวเวลา ภาพเมืองสงบงามแห่งนั้นก็ค่อยๆ ผุดเข้ามาในความทรงจำ สี่เดือนก่อนผมไปเยือนหลวงพระบาง ระหว่างรอนแรม เวลาครึ่งเดือนนั้นก็มอบคำตอบเปี่ยมความหมาย...
เราข้ามแม่น้ำอูมาพร้อมๆ กับเริ่มบอกลาแผ่นดินลาว ทางลูกรังคลุ้งฝุ่นทอดไปบนภูเขา นานๆ จึงจะพบหมู่บ้านชาวลาวสูง รอบๆ ตัวเรายามนี้คือทิวเขาซับซ้อนและป่าไม้ หลายครั้งที่รถตู้จวนเก่าต้องลงไปลุยบนทางเกวียน ในแม่น้ำ ลำห้วย เพราะถนนและสะพานกำลังก่อสร้าง ท้าวทองบอกว่าเป็นความช่วยเหลือของเวียดนาม เพื่อจะเชื่อมสองประเทศด้วยถนนแอสฟัลต์สายใหม่
บ่ายคล้อย ทางภูเขาพาเรามาถึงด่านปากหง ชำระค่าธรรมเนียมคนละ 4,000 กีบ หรือ 16 บาท เราก็ข้ามเส้นพรมแดนสู่ด่านไตตราง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เราแลกเงินกีบของลาวเป็นเงินด่ง เปลี่ยนจากรถตู้จวนเก่ามาเป็นมินิแวนคันใหม่
“สวัสดีทุกๆ ท่าน เรากำลังเข้าสู่อีกหนึ่งดินแดนไทยแล้วนะครับ” ชายวัยล่วงชราซึ่งแทนตัวเองว่า “อุดม” กล่าวต้อนรับด้วยภาษาไทยชัดคำ ทั้งสำเนียงและใบหน้าชวนให้เชื่อได้ว่าเขาเป็นคนไทย“ผมเรียนภาษาไทยที่วิทยาลัยแห่งชาติ พอขึ้นปี 3 ต้องหยุดเรียน ไปรบกับอเมริกา” คุณอุดมเล่าน้ำเสียงดังชัด ประโยคท้ายทำให้หลายคนหันมาฟังด้วยความสนใจ
จากด่านไตตราง ถนนเปลี่ยนเป็นลาดยางค่อนข้างเรียบ ช่วงเขตปลอดทหาร (Demilitarized Zone) 6 กิโลเมตรระหว่างประเทศ ผืนป่าร่มรื่นสมบูรณ์ แต้มแต่งด้วยเสี้ยวป่า ซึ่งยามนี้ผลิดอกทั่วทิวเขา


พ้นจากเขตปลอดทหาร ถนนทอดลงภูเขามาพบนาข้าวลดหลั่น ครู่ต่อมาเราก็อยู่บนสะพานซึ่งทอดข้ามแม่น้ำป่าหนาม ชั่วโมงต่อมาเราก็เข้าเขตเมือง มอเตอร์ไซค์และรถยนต์สวนกันขวักไขว่ จักรยานพบเห็นได้ทุกท้องถนน ผ่านอนุสรณ์สถานทหารผู้เสียชีวิตจากสงคราม เราก็อยู่ใจกลางเดียนเบียนฟู
บ่ายวันนั้น เราออกนอกเมืองไปเยือนศาลเจ้าหว่างกงเจิ้ต หรือองเชียงสือที่ชาวไทยดำเคารพศรัทธา
ย้อนเวลากลับไป ประวัติศาสตร์ของเวียดนามเต็มไปด้วยบาดแผลแห่งสงคราม กว่า 900 ปีที่อยู่ใต้อิทธิพลของจีนและความขัดแย้งกันเองระหว่างราชวงศ์ต่างๆ กว่าสิบสายตระกูล
ช่วง พ.ศ. 2345 องค์ชายเหวียนแอ๋ง หรือที่คนไทยรู้จักดีในนามองเชียงสือ ผู้เคยหลบหนีมาขอความช่วยเหลือจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สามารถรวมแคว้นทั้งเหนือและใต้ให้เป็นปึกแผ่นได้ พระองค์สถาปนาราชวงศ์เหวียนขึ้นปกครองประเทศ และเรียกดินแดนที่มีอาณาเขตตั้งแต่จีนตอนเหนือจรดคาบสมุทรก่าเมาทางตอนใต้ว่า “เวียดนาม” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ระหว่างรวบรวมแคว้นต่างๆ นั้น องเชียงสือขับไล่โจรก๊กอื่นๆ ในเดียนเบียนฟูจนแตกพ่าย ชาวไทยดำซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่สำนึกในบุญคุณ จึง
สร้างศาลเจ้านี้เพื่อเป็นที่สักการะและอนุสรณ์สถาน
ผ่านกำแพงสูงเข้าไป อาณาบริเวณร่มรื่น ตัวศาลเจ้าอายุ 200 ปีดูขรึมขลัง สร้างจากไม้ลิม ซึ่งมีเนื้อไม้ทนงามคล้ายไม้สักของไทย ก้าว
เข้าไปด้านใน กลิ่นธูปควันเทียนล่องลอย ตามบานประตูและหน้าต่างแกะสลักลวดลายไม้ดอก นกกระเรียน แลงดงามอ่อนช้อย สะท้อนให้เห็นว่าชาวไทยดำศรัทธาองเชียงสือมากเพียงใด
ตามประวัติบันทึกไว้ว่า ราชวงศ์เหวียนรุ่งเรืองยาวนานร่วมร้อยปี กระทั่งเกิดความขัดแย้งทางศาสนาคริสต์กับฝรั่งเศส และตามมาด้วยความพ่ายแพ้แก่กองเรือฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2401 ส่งผลให้เวียดนามสูญเสียเอกราชนับแต่บัดนั้น



