
บทความ
ขึ้นกระเช้าสวรรค์ลอยฟ้าสู่ภูผาโต๊ะ
เสร็จสรรพจากการตะลุยแหล่งมรดกโลกและแหล่งเที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจทางตอนเหนือของแอฟริกาใต้จนครบตามแผนที่วางไว้แล้ว ครั้งนี้จึงต้องสลับกลับมายังตอนใต้ของที่นี่บ้าง ซึ่งเป้าหมายของพวกผมเล็งไปที่เคปคาวน์ เมืองที่ได้รับการยกย่องว่า “สวย” ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกยุคดิจิตอล และยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ “ใจกว้าง” อีกตำแหน่งด้วยในฐานะที่ผู้คน ทุกสี ทุกกลุ่ม ทุกก๊วน สามารถ กิน-เดิน-เที่ยว ได้อย่างเสมอภาคกัน (ถ้ามีตังค์จ่าย)
เคปทาวน์เป็นเมืองหลวงของรัฐเวสเทิร์นเคปซึ่งอยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศนี้ และที่เคปทาวน์นี่แหละที่เป็นศูนย์รวมแหล่งมรดกโลกและจุดสำคัญๆ ในระดับโลกอีกหลายแห่งแบบที่ใครไป-ใครมาแล้ว “ห้าม” พลาดเด็ดขาดนั่นคือ เทเบิลเมาน์เทน เกาะร็อบเบน หาดโบลเดอร์และแหลมกู๊ดโฮปครับผม
พวกผมนั่งเครื่องบินไปถึงเคปทาวน์เอาเมื่อตอนสาย แต่ก็ขึ้นสู่ยอดบนสุดของเขาลูกยักษ์ที่มียอดบนเรียบแบนราวกับโต๊ะนี้ไม่ได้ทันทีเนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดี มีเมฆปกคลุมยอดเขาและลมแรงมาก เพื่อความปลอดภัยจึงต้องรอ “ลุ้น” ฟังข่าวอีกทีในช่วงบ่าย ระหว่างรอพวกผมใช้เวลาว่างด้วยการไปเที่ยวซิกแนลฮิลล์เพื่อถ่ายรูปและชมวิว พอบ่ายโชคก็เป็นของพวกผม เมื่อฟ้าเปิดทางสะดวกให้ ผมลอยฟ้าขึ้นสู่ยอดที่ระดับ 1,085 เมตร ด้วยกระเช้าสวรรค์สุดไฮเทคที่ใช้เวลาเพียง 4 นาทีเท่านั้น ที่เก๋มากๆคือ พื้นของตัวกระเช้าหมุนได้รอบทิศแบบ 360 องศาจึงเห็นวิวได้ทั่วทุกทิศทุกมุมครบถ้วนทุกคน ส่วนด้านบนของภูผาโต๊ะเห็นวิวมหาสมุทรสุดงามจริงๆ วันที่ฟ้าสดใสไร้เมฆหมอกแบบนี้ ผมมองเห็นได้ไกลถึงปลายแหลมกู๊ดโฮปเลยแหละ ส่วนพวกคอธรรมชาติที่ชอบไม้ดอกสวยและพืชพันธุ์ไม้แปลกๆ ที่นี่มีให้ดูกันเพียบ เส้นทางศึกษาธรรมชาติก็มีให้เดินกันสนุก เยี่ยมสุดยอดสมกับเป็นแหล่งมรดกโลกจริงๆ ครับ


ยกพลขึ้นบกที่เกาะร็อบเบน
เช้าของวันถัดมา พวกผมดิ่งตรงไปยังสวนพฤกษศาสตร์เคิร์สเตนบอชซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณเชิงเขาของเขาเบิลเมาน์เทน เป็น 1 ใน 7 ของสวนพรรณไม้ที่ได้รับการยกนิ้วว่าดีที่สุดของโลก และ ตั้งอยู่ในภูมิทัศน์ที่ได้รับการยกย่องว่างามที่สุดจุดหนึ่งของทวีปแอฟริกาเลยทีเดียว
พอตกบ่ายคล้อยพวกผมก็ลอยเรือออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติกมุ่งหน้าไปยังร็อบเบนเกาะเล็กๆ ที่เห็นเป็นรูปไต ทรงเตี้ยๆ แบนๆ ยาวราว 5 กิโลเมตรเศษๆ ผมจำเกาะนี้ได้จากเมื่อวานที่ขึ้นบนยอดภูผาโต๊ะ แล้วมองลงมาเห็นเกาะนี้เกาะเดียวที่ลอยเด่นเป็นสง่าอยู่บนพื้นน้ำสีครามเข้ม ใกล้ถึงเกาะตามแนวโขดหินริมฝั่งมีแมวน้ำนอนอาบแดดเต็มพื้นไปหมด ก็เลยหายสงสัยว่าทำไมถึงได้ชื่อว่าเกาะแมวน้ำตามภาษาดัชต์ที่เรียกว่า Robben นั่นเอง
ยกพลขึ้นบกได้ก็มีรถมารับพวกผมและคนอื่นๆ ไปเที่ยวรอบเกาะ ซึ่งในอดีตเคยใช้เป็นที่สำหรับ “ปล่อยเกาะ” พวกทาสผิวดำที่มีปัญหา รวมทั้งนักโทษการเมืองชื่อดังในช่วงความขัดแย้งเรื่องสีผิว โดยคนที่ดังที่สุด คือ เนลสัน แมนเดลา ซึ่งต่อมาก็ได้เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของประเทศนี้ด้วย ที่ผมทึ่งสุดๆ ก็คือ หลังจากที่ยกเลิกการใช้คุกแล้ว พวกเขาพัฒนาให้กลับกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับอินเตอร์ และผลักดันให้กลายเป็น “มรดกโลก” ได้ยังไง บ้านเราน่าที่จะนำไปศึกษาและพัฒนา “ตะรุเตา” ของไทยเราก้าวเป็นมรดกของผู้คนทั้งมวลได้เหมือนกันนะครับ
บ๊าย บาย เซาธ์แอฟริกา ร่ำลากันที่กู๊ดโฮป
โค้งสุดท้ายของการมาทัวร์ที่แอฟริกาใต้จริงๆ หลังจากไปชมความน่ารักนกเพนกวินแจ็คกัสหรือเพนกวินพันธุ์แอฟริกาที่หาดเล็กๆ แต่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ระดับโลกที่หาดโบลเดอร์มาแล้ว ก็ต้องอยู่ที่ปลายแหลมแห่งความหวังอันเรืองรอง หรือ Cape of Good Hope ครับ
รถตู้ที่อยู่กับพวกผมมาตลอดตั้งแต่ลงจากเครื่องบินที่เมืองเคปทาวน์ พาเราลัดเลาะเลียบไปตามชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกแบบสุดประทับใจด้วยหาดสวยๆ หน้าผางามๆ บนเส้นทางที่ชื่อว่า Chapman’s Peak Drive ที่ว่ากันว่าต้องใช้เวลายาวนานถึง 7 ปีกว่าจะเสร็จ (แพ้สุวรรณภูมิของบ้านเราไม่เห็นฝุ่น!) บางช่วงก็เป็นป่าแคระสลับกับทุ่งดอกไม้สีสวยๆ อย่างโปรเทีย ซึ่งเป็นพืชพรรณเฉพาะถิ่นของที่นี่ด้วย
ผมได้เห็นนกและสัตว์ป่าหลายชนิดเดินเล่นและหากินอยู่ตามดงไม้เตี้ยๆ ริมทะเล แบบที่ไม่เคยนักเคยฝันว่าจะเห็นมันได้อย่างเจ้ากระจอกเทศ เจ้าบาบูน เจ้าม้าลาย และเจ้าโทปี กำลังดูอะไรเพลินๆ รถก็มาหยุดกึกตรงหน้าป้าย “แหลมกู๊ดโฮป” ให้พวกผมลงไปถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกตามธรรมเนียม (ของใครก็ไม่รู้!) เสร็จแล้วก็ขึ้นรถรางไปยังยอดหอคอยที่สร้างอยู่บนจุดชมวิวที่งามหยดย้อยที่สุดของแหลมแห่งนี้ ข้างบนนอกจากอากาศจะเย็นเยียบแล้วลมยังแรงจัดพัดตึงตลอดเวลาอีกต่างหาก ข้างล่างที่เป็นพื้นน้ำสีเขียวมรกตดั่งเกลียวคลื่นม้วนตัวลงอย่างช้าๆ อย่างสุภาพ บนท้องฟ้านกนางนวลและแกนเนทลอยตัวโต้ลมวนไปวนมาอยู่เหนือหัวผมเหมือนกับจะบอกลาพร้อมกับกริยาอาการที่บอกว่า “ถ้ามีโอกาสก็กลับมาหาพวกเราอีกนะ”



