
บทความ
เยือนแหล่งมรดกโลกในดินแดนแห่งสายรุ้ง-แอฟริกาใต้
คุณกัมพล สุขุมาลินท์...เรื่อง
คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...ภาพ
ในฐานะที่ผมเป็นคนชอบท่องเที่ยวธรรมชาติ จึงสนใจและติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวในแวดวงนี้มาตลอดไม่ว่าจะเป็นนอกหรือในประเทศตอนปี 2542 (ถ้าผมจำไม่ผิด) องค์กรระดับโลกอย่างยูเนสโกได้รับรองหรือประกาศให้ “ร็อบเบน-เซ็นต์ลูเซีย-สเติร์กฟอนเทียน” ของแอฟริกาใต้เป็นพื้นที่ “มรดกโลก” หรือ World Heritage
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมสนใจที่จะศึกษาและค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งมรดกโลกที่มีในดินแดนแห่งสายรุ้งนี้พร้อมกับใฝ่ฝันว่าจะไปสัมผัสกับสถานที่เหล่านั้นให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต แล้วก็เป็นโชคดีอย่างที่สุดของชีวิตอีกครั้งที่ผมได้รับมอบหมายให้เดินทางไปทำสารคดี ณ ดินแดนในฝันของผมและคนทั้งโลกเป็นเวลานานถึง 3 สัปดาห์ทีเดียวครับ

สเติร์กฟอนเทียน ถ้ำประวัติศาสตร์แห่งชาติพันธุ์มนุษย์
หลังจากที่เท้าของผมได้สัมผัสกับโยฮันเนสเบิร์กของแอฟริกาใต้แค่ไม่กี่อึดใจพวกผมก็เดินทางไปยังจุดหมายแรกทันทีที่ถ้ำสเติร์กฟอนเทียน (Sterkfontein Cave) ซึ่งอยู่ห่างจากโจเบิร์ก (คนที่นี่เขาขี้เกียจเรียกชื่อโยฮันเนสเบิร์กแบบยาวๆ เต็มยศก็เลยเรียกด้วนๆ สั้นๆ แค่เนี๊ย!) ไปเพียงแค่ 20 นาที ด้วยการขับรถแบบสบายๆ ไม่รีบเร่ง
ต้องชมกันเลยว่าตั้งแต่ปากทางเข้าเรื่อยไปจนลานจอดรถและอาคารนิทรรศน์การนั้นจัดทำได้อย่างสวยงามและอลังการสมกับเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ระดับโลกจริงๆ ที่เท่ห์มากๆ คือหลังจากชมพิพิธภัณฑ์ห้องสุดท้ายแล้ว พอเปิดประตูออกไปจะกลายทุ่งหญ้าสลับกับป่าละเมาะบนเนินเขาสูง ไกด์สาว (ร่างใหญ่) ใจดีก็พาพวกผมเดินไปตามทางชมโน่นชมนี่ไปเรื่อยๆ เพลินๆ กว่าจะรู้ตัวก็มาถึงหน้าปากถ้ำเล็กๆ ที่อยู่ลึกลงไปใต้พื้นพิภพ แล้วพวกผมก็ต้องมะงุมมะงาหราลงไปในถ้ำที่มืดและลึกแห่งนี้ด้วยไฟฉายดวงเล็กๆ ของไกด์ที่เตรียมมาพร้อม จนมาถึงความลึกที่ระดับหนึ่งคุณเธอก็หยุดกึกพร้อมกับจี้ไฟฉายไปยังกองหินแหลมก้อนหนึ่งทางซ้ายมือของทางลง เขาบอกว่าตรงนี้แหละที่บรรพบุรุษของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่ สุดในโลกตกลงมาตาย และวาดแสงไฟขึ้นไปบนผนังถ้ำซึ่งอยู่สูงขึ้นไปราวตึก 5 ชั้นมีรอยแตกเป็นช่องให้แสงลอดลงมาได้รำไรๆไม่ต้องบอกก็เดาได้เลยว่านั้นคือช่องที่อภิมหาบรมทวดตกลงมาแน่นอนเขาสันนิษฐานว่าคุณเธอผู้นั้น (ซึ่งภายหลังได้ชื่อว่า Mrs. Pless) คงวิ่งหนีสัตว์ร้ายหรือชายหื่นจากที่อื่นแล้วพลัดตกลงมาตายที่นี่
จากจุดที่มิสซิสเปลสตกลงมา(ตาย) เขายังพาเราเดินลงลึกมาเรื่อยๆ เพื่อชมความงามของหินงอกหินย้อยภายในถ้ำที่ยังไม่ตาย คือยังมีการเกิดของหินงอก-หินย้อยอยู่ตลอดเวลา แถมบางช่วงยังมีธารน้ำไหลลอดผ่านถ้ำอย่างสวยงามน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ ครับ


สุดอลังการกับภาพเขียนโบราณที่ดราเกนสเบิร์ก
จากโจเบิร์กคราวนี้พวกผมเดินข้ามรัฐฝั่งจากรัฐกัวเตงไปยังรัฐนอร์ธ เวสต์ที่อยู่ติดกับชายแดนประเทศบอตสวานา รัฐนี้เขามีจุดขายอยู่ที่ซันซิตี้กับอุทยานแห่งชาติปิลาเนสเบิร์ก ซึ่งอยู่ห่างจากโจเบิร์กออกมาราวๆ 2 ชั่วโมงในการเดินทางโดยรถยนต์หรือรถประจำทาง แต่จุดหมายของเราในครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่ 2 แหล่งเที่ยวชื่อดังนั้น เพราะภูผาแห่งมังกร (Dragon Mountain) หรือดราเกนสเบิร์ก (Dragensberg) นั้นน่าสนใจกว่าแม้จะต้องใช้เวลาในการเดินทางเกือบครึ่งค่อนวันก็ตาม
เทือกเขาดราเกนเบิร์กถือเป็นเส้นแบ่งอาณาบริเวณระหว่างที่ราบต่ำทางภาคตะวันออกกับเขตที่ราบสูงของแอฟริกาตอนใต้ จากความแตกต่างอย่างสุดขั้วของ 2 พื้นที่นี่เองที่ทำให้ดราเกนเบิร์กมีภูมิทัศน์ที่สวยงามแปลกตาและน่าตื่นใจที่สุดจุดหนึ่งของทวีปเลยทีเดียวแหละ ทั้งผาสูงชันนับพันเมตร หุบผาหน้าตาแปลกๆ และโตรกธารงามๆ ที่มีแม่น้ำไบลด์ไหลพาดผ่านอย่างงดงามลงตัวยามร่วม 30 กว่ากิโลเมตร ซึ่งมีอะไรดีๆซุกซ่อนอยู่มากมายรอคอยให้นักสำรวจไปค้นหาและค้นพบ
และหนึ่งในนั้นก็คือภาพเขียนสีโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่วาดติดไว้อยู่บนผนังถ้ำบนยอดเขาสูงลิบลูกหนึ่ง ซึ่งพวกผมต้องลำบากลำบน
ทนหอบสังขารโทรมๆ ขึ้นทางชันดิกของสันเขาเพื่อไปดูความยิ่งใหญ่ให้เห็นเต็มตา และก็คุ้มค่าจริงๆ ที่ผมได้เห็นภาพเขียนฝีมือคล้ายๆ กับโขงเจียมหรือผาแต้มของบ้านเราคือ เขียนเป็นรูปคน - สัตว์ป่าด้วยสีน้ำตาลแดงนับเป็นพันๆ ภาพยาวเหยียดเต็มตลอดผนังของยอดบนสุด ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือใครเป็นผู้วาดมันขึ้นมา วาดขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์อันใด และทำไมถึงต้อง (อุตริ) ดั้นด้นขึ้นมาวาดไว้จุดที่สูงลิบลิ่วเช่นนี้?
ป่างามน้ำสวยที่เซนต์ลูเซีย
ลุยแหล่งประวัติศาสตร์กันมาแล้ว 2 แห่ง คราวนี้แผนของพวกผมจึงสลับขั้วกลับมาที่ “ธรรมชาติ” ของชอบของถนัดสำหรับผมบ้าง และเซนต์ลูเซียก็เข้าทางปืนแบบเต็มๆ เพราะนั่นคือหัวขบวนแรกๆ ของแอฟริกาใต้ที่ได้เป็นมรดกโลกหรือ World Heritage จากยูเนสโกในราวปี 1999 (ขอย้ำอีกครั้งครับว่าถ้าจำไม่ผิด)ซึ่งเป็นทะเลสาบตรงปากแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาก็ว่าได้เป็นสวนสวรรค์ของคนรักนกและธรรมชาติที่เยี่ยมยอดที่สุดในโลกแห่งหนึ่งทีเดียว
ถ้าใครมาถามผมว่าไปตะลอนแอฟริกาใต้ร่วมค่อนเดือนชอบที่ไหนมากที่สุดละก็ เซนต์ลูเซีย คือคำตอบของผมครับ เพราะโดนใจผมทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศของสถานที่ การเดินทางไปจนถึงที่พักและที่หม่ำทุกอย่างสวยหมดจดร่มรื่นหมดใจจริงๆ โดยเฉพาะแถวบ้านพักผมที่อยู่ติดกับแม่น้ำนั้น วิวก็ดี อากาศก็เย็นสบาย แถมนกเล็กนกใหญ่บินมาให้ดูกันใกล้ๆ ทุกวัน ตามริมแม่น้ำก็มีเจ้าฮิปโปลอยตุ๊บป่องเต็มไปหมด โดยเฉพาะจุดที่เราลงเรือล่องไปตามแม่น้ำเซ็นต์ลูเซียนั้น “เจ้าขอนลอย” หรือจระเข้ลอยตัวเป็นแพราวกับท่อนซุงเต็มไปหมด แถมนกน้ำตัวโตๆ สีสวยๆ ยังบินไปบินมากันร่อนเต็มท้องน้ำไปหมดทั้งกระสา ยางโกไลแอท ช้อนหอย และอ้ายงั่วแอฟริกัน ยิ่งใหญ่สมกับเป็นมรดกโลกของมวลมนุษย์ชาติจริงๆ ถ้า(โชคดีมีบุญ) ได้กลับมายังดินแดนสายรุ้งอีกล่ะก็ เซ็นต์ลูเซียนี่แหละที่ผมจะมาปักหลักอยู่สักครึ่งเดือน !
เวลเดอฟอร์ทโดม ภูมิทัศน์อัศจรรย์
บุกถิ่น Rainbow Country มาได้เกือบจะครบ 10 วันแล้ว ที่เวลเดอฟอร์ท
โดมนี่แหละที่ทำให้ผมเชื่อว่าที่ (แอฟริกาใต้) นี้คือ แหล่งรวมของความเป็นสุดยอดของสถานที่ท่องเที่ยวทั้งทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติแบบไม่มีที่ใดเสมอเหมือนอย่างแท้ จริงไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์อันงดงามตระการตาของขุนเขาแคนย่อนและทุ่ดอกไม้ แต่ที่ต้องเติมต่อท้ายอีกอย่างหนึ่งในปัจจุบันนี้ก็คือ ถิ่นหลุมอุกาบาตยักษ์ครับ
หลุมอุกาบาตยักษ์ในรัฐแอริโซน่าของอเมริกาขาใหญ่ของโลกนั้น ถ้ามาเทียบ กันกับเวลเดอฟอร์ทโดมแล้วอาจจะด้อยกว่าในเรื่องของขนาดที่อาจไม่มโหฬารเท่าก็จริง แต่สิ่งที่เหนือกว่าก็คือ การมีหลุมบริวารอยู่รายรอบหลุมแม่นับเป็นร้อยหลุม ซึ่งเข้าใจว่าอุกาบาตลูกโตจากนอกโลกตกมาใส่แบบเต็มๆ แล้วเศษเล็กเศษน้อยกระจัดกระจายปลิวร่อนเป็นวงกว้างรอบๆ หลุมใหญ่กลายเป็นภูมิทัศน์สุดอัศจรรย์ที่สวยงามแปลกตาคล้ายกับหลุมขนมครก (ที่แคะตัวขนมออกไปหม่ำแล้ว) เต็มอาณาบริเวณของเวลเดอฟอร์ทโดมทั้งหมด และที่เยี่ยมกว่านั้นคือ ความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้และสัตว์ป่ารวมไปถึงนกนับร้อยชนิดเนื่องจากมีลำห้วยและแม่น้ำหลายสายไหลเลื้อยผ่าใจกลางเวลเดอฟอร์ทโดม ทำให้หลุมอุกาบาตที่นี่มีชีวิตชีวาไม่แห้งแล้งดูเดียวดายเหมือนกับที่อื่นๆ ในโลก



