
บทความ
ค่ายกักกันเอาชวิตซ์ (Auschwitz Concentration Camp) เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของทริปในโปแลนด์ เพราะเป็นที่รับรู้กันไปทั่วโลกว่าเป็นสถานที่ที่เยอรมนีในยุคนาซีใช้เป็นที่สังหารเชลยสงครามไปประมาณ 1.3 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นชาวยิวที่อยู่ตามประเทศต่างๆ ที่ถูกเยอรมนียึดครอง และมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่ตีแผ่ความโหดเหี้ยมดังกล่าว ทำให้ตื่นเต้นระคนสยองขวัญที่จะได้ไปเดินดูอาคารสถานที่รวมทั้งสัมผัสบรรยากาศในค่ายกักกันแห่งนี้ ซึ่งชื่อตั้งตามชื่อเมืองในภาษาเยอรมันที่ค่ายนี้ตั้งอยู่
ค่ายกักกันแห่งนี้ประกอบด้วย 3 ค่ายหลัก และ 45 ค่ายย่อย ที่พวกเราเข้าไปเดินชมนี้คือค่ายฐาน (Base Camp) เป็น 1 ใน 3 ค่ายหลัก รอบค่ายมีรั้วสูงล้อมรอบ พื้นที่ภายในค่ายมีอาคาร 20 หลัง ได้รับการบูรณะให้มีสภาพใกล้เคียงของเดิม ส่วนหนึ่งใช้แสดงสิ่งของเครื่องใช้ เสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ ของบรรดาเชลยที่ถูกจองจำและถูกสังหาร อาคารอีกส่วนหนึ่งใช้เป็นที่คุมขัง ซึ่งแบ่งตามประเทศที่มาของเชลยซึ่งถูกขนส่งมาโดยรถไฟ จากสภาพข้าวของเครื่องใช้ พร้อมทั้งรูปภาพขนาดใหญ่จำนวนมากที่ตั้งแสดงภายในอาคาร บอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1941-1944 ได้เป็นอย่างดี จากสีหน้าของเชลยในบางภาพ ดูเหมือนเขาและเธอเหล่านั้นจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าตนเองจะต้องจบชีวิตลงที่นี่ ในบางอาคารช่วงที่เข้าไปเดินชม ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ในอาคารจะเงียบสงัด วังเวง ก็น่าหวาดๆ อยู่เหมือนกัน

อาคารที่ 11 เป็นที่ที่ทุกคนต้องไปดู ได้รับการเรียกขานว่า “คุกในคุก” เพราะนอกจากลานภายนอกจะใช้เป็นที่ประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าเชลยที่ทำผิดกฎของค่ายแล้ว ห้องคุมขังยังได้รับออกแบบให้ทรมานเชลยจนตายจากการขาดน้ำและอาหาร ส่วนห้องคุมขังที่อยู่ชั้นใต้ดินก็มีเพียงช่องอากาศเล็กๆ ซึ่งทำให้เชลยถูกทรมานในลักษณะขาดอากาศหายใจจนตาย และยังมีห้องที่นักโทษชาวรัสเซียและโปแลนด์จำนวนราว 850 คนได้ถูกทดลองใช้แก๊สพิษที่เรียกว่า Zyclone B ซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงที่มีส่วนผสมของไซยาไนด์ และต่อมาถูกนำไปใช้ในห้องรมแก๊สพิษที่ฆ่าชาวยิวไปเป็นจำนวนเรือนล้านที่ค่ายเอาชวิตซ์-เบียร์เคเนา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ค่ายนี้เองแม้จะไม่ใช่ค่ายหลักในการกำจัดชาวยิว แต่ก็มีการดัดแปลงบังเกอร์เป็นห้องรมแก๊สพิษพร้อมเตาเผาศพ จำนวนเชลยที่เสียชีวิตจากการรมแก๊สในค่ายนี้มีจำนวนประมาณ 60,000 คน เมื่อสงครามสงบ ทางการโปแลนด์ได้มีการบูรณะห้องรมแก๊สนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้เศษวัสดุอุปกรณ์ของเดิมมาประกอบและก่อสร้างขึ้นใหม่ เพื่อเป็นการเตือนใจถึงความโหดเหี้ยมทารุณที่มนุษย์ซึ่งถือตนว่าเป็นสัตว์ประเสริฐเคยกระทำต่อกัน ในปี 1979 ยูเนสโกก็ขึ้นทะเบียนค่ายเอาชวิตซ์-เบียร์เคเนาเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม


ขณะ เมื่อเดินออกจากค่ายกักกันแห่งนี้ อากาศแจ่มใส เย็นสบาย ความรู้สึกปลอดโปร่ง มีอิสระก็เกิดขึ้น หวนคิดไปว่า ถ้าเป็นเมื่อราว 70 ปีก่อน บริเวณนี้ก็เต็มไปด้วยบรรดาทหารนาซีและเชลยสงคราม ท่ามกลางบรรยากาศที่มีแต่ความน่าสะพรึงกลัว เศร้าหมอง หดหู่ เจ็บปวด ทรมาน และความตาย นับว่าค่ายกักกันเอาชวิตซ์เป็นสถานที่ที่แสดงถึงความโหดเหี้ยม ทารุณ ที่คนเรากระทำต่อกันเพียงเพราะความเกลียดชังในความแตกต่างของเผ่าพันธุ์ เชื้อสาย และความมีอัตตาว่าตนเหนือกว่าคนอื่นเท่านั้น
ตอนเที่ยงพวกเราแวะทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารเปิดใหม่ริมถนน ความเมื่อยล้าจากการเดินๆๆๆ ในค่ายฯ บวกกับบรรยากาศชนบทที่เงียบสงบ ทำให้อาหารเที่ยงวันนี้เป็นมื้อที่อร่อยเกินคาด จากนั้นการเดินทางไปยังจุดหมายใหม่คือประเทศสาธารณรัฐเช็กก็เริ่มต้นในตอนบ่าย

