top of page
Misty Woodland

อภิชาต ขนบดี

บทความ

โปแลนด์...ประวัติศาสตร์หลากยุค 

คุณอภิชาต ขนบดี...เรื่อง

คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...ภาพ

      บนเส้นทางสู่โปแลนด์พวกเรามีโอกาสผ่านเข้าไปยังประเทศสโลวะเกีย แวะที่กรุงบราติสลาวาซึ่งเป็นเมืองหลวง แต่โชคไม่ดี เพราะฝนและลมที่กระหน่ำลงมา อากาศจึงเย็นกว่าทุกวันและทำให้เดินไปไหนไม่ได้ไกลนอกจากอาคารรัฐสภา จากบนเนินรัฐสภา ทำให้มองเห็นตัวเมืองได้รางเลือน วันนี้ปลายทางอยู่ที่เหมืองเกลือเวียลิกซ์กา (Wieliczka Saltmine) ในเขตประเทศโปแลนด์ อยู่ไม่ห่างจากคราโคว์ (Krakow) ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของโปแลนด์ 

      เหมืองเกลือนี้เป็นเหมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยเริ่มการผลิตตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 เพราะในสมัยโบราณเกลือมีค่ามาก เปรียบเหมือนทองคำสีขาว และโปแลนด์ได้ใช้เกลือเป็นสินค้าในการค้าขายกับนานาประเทศ การผลิตเกลือดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปี 2007 ตัวเหมืองอยู่ลึกลงไปประมาณ 300 เมตร ความยาวของอุโมงค์ที่มีการเข้าไปขุดเอาเกลือมากกว่า 300 กิโลเมตร! ด้วยความเก่าแก่และความอลังการในความอุตสาหะของมนุษย์ จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1978 

      ทางเข้าไปเหมืองจะผ่านจุดติดตั้งเครื่องจักรที่ในอดีตใช้ขุดเอาเกลือขึ้นมา ตอนจะลงไปชมเหมืองต้องลงลิฟต์ที่อยู่ภายในอาคาร แล้วเดินลงบันไดต่ออีก 378 ขั้นจึงจะถึงทางเดินไปยังส่วนต่างๆ ของอุโมงค์ ทางเดินบางส่วนจะมีท่อนซุงขนาดไม่ใหญ่นักกั้นทั้งผนังและเพดานทางเดิน ส่วนบริเวณที่เป็นหินก็จะมีดอกเกลือสีขาวปรากฏอยู่มากมาย แต่ละจุดในอุโมงค์มีงานแกะสลักจากหินเกลือเป็นรูปบุคคลที่มีชื่อเสียงต่างๆ ให้ชมกัน เช่น นักบุญทางคริสต์ศาสนา สันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 ภาพอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซู การทำงานของคนงานเหมืองในสมัยก่อน ประวัติศาสตร์โปแลนด์ ฯลฯ ที่น่าทึ่งที่สุดคือห้องรับรองขนาดใหญ่ มีโคมไฟระย้าขนาดใหญ่ (แกะสลักจากหินเกลือ) ซึ่งเปิดให้บริการจัดงานเลี้ยง สามารถจุแขกได้หลายร้อยคน 

222A1868.jpg

      ในการเดินชมเหมืองจำเป็นต้องมีไกด์นำ เพราะเส้นทางวกวน เมื่อเข้าไปในส่วนหนึ่งๆ ก็จะมีการปิดประตูเพื่อที่ไกด์จะอธิบายให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยว หากเดินตามไม่ทันหรือพลัดหลงก็จะเป็นปัญหาได้ เพราะเส้นทางที่ไกด์พาพวกเราเดินชมประมาณ 3 กิโลเมตรนั้น คิดเป็นร้อยละ 1 ของเส้นทางทั้งหมดเท่านั้น! อีกประการหนึ่ง เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากประเทศต่างๆ มาเที่ยวชม ผู้ดำเนินการจึงแบ่งการเข้าชมเหมืองเป็นรอบๆ มีการบรรยายโดยไกด์เป็นภาษาต่างๆ ดังนั้นหากจะไปเที่ยวต้องตรวจสอบรอบที่ใช้ภาษาอังกฤษให้ดี จะได้ไม่เสียเวลาคอยนาน เมื่อกลับขึ้นมาจากเหมือง ต้องเดินผ่านจุดจุดหนึ่งที่มีการติดตั้งแผงควบคุมระบบไฟฟ้าในเหมือง เป็นของเดิมที่ใช้มาตั้งแต่อดีตและยังใช้ได้ดีจนถึงปัจจุบัน 

07.222A1985.jpg

      หลังจากใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงอยู่ใต้ดินในสภาพแวดล้อมที่มีขอบเขตจำกัด มีความสว่างจากดวงโคมที่ติดตั้งไว้ เมื่อกลับออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้ง พวกเราต่างก็ได้ตระหนักถึงความสำคัญอย่างยิ่งของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีต่อการดำเนินชีวิตของคนเรา เพราะใกล้ๆ อาคารเป็นสวนสาธารณะที่สวยงามด้วยต้นไม้ ดอกไม้หลากสี สนามหญ้าเขียวขจี อากาศเย็นสบาย และแสงอาทิตย์ยามเย็น บวกกับเสียงนกส่งเสียงร้องอยู่ในสวน สร้างความชื่นตาชื่นใจให้ทุกคนอย่างถ้วนหน้า 

      วันที่สองในโปแลนด์ เราเข้าไปเที่ยวเมืองคราโคว์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของโปแลนด์และเป็นเมืองหลวงเก่าช่วงปี 1038-1569 ตัวเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำวิสตูลา เป็นศูนย์กลางด้านวิชาการ วัฒนธรรม และศิลปะของประเทศ ประวัติความเป็นมาของเมืองย้อนหลังไปได้ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 7 ในบริเวณเมืองเก่าของคราโคว์มีสถานที่เก่าแก่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์มากมาย เช่น ปราสาทวาเวล โบสถ์เซนต์ปีเตอร์และพอล จัตุรัสกลางเมือง ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ยูเนสโกจึงขึ้นทะเบียนบริเวณเมืองเก่าของคราโคว์เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 1978 

      พวกเราเดินตามไกด์ท้องถิ่นเข้าชมปราสาทวาเวลเป็นแห่งแรก ทางเดินผ่านประติมากรรมรูปมังกรที่เกี่ยวเนื่องกับนิยายปรัมปราของคราโคว์ และมังกรจะพ่นไฟเป็นระยะๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ตื่นเต้นพอประมาณ ภายในพื้นที่ของปราสาทเป็นที่ตั้งของอาคารเก่าแก่ต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องทั้งอาณาจักรและศาสนจักรของโปแลนด์ การก่อสร้างปราสาทนี้เริ่มในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 และได้รับการปรับปรุง บูรณะ ต่อเติมหลายครั้ง ตามเส้นทางจากปราสาทวาเวลสู่จัตุรัสกลางเมือง ผ่านสถานที่ทางศาสนา เช่น โบสถ์ และบ้านอาคารบ้านเรือนที่ยังคงสถาปัตยกรรมแบบเดิมที่สวยงาม เต็มไปด้วยกลิ่นอายทางประวัติศาสตร์ 

10.222A2404.jpg
222A2155.jpg

      ก่อนไปตระเวนที่จัตุรัส ไกด์พาพวกเราไปที่มหาวิทยาลัย Jagiellonian ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของโปแลนด์ (ก่อตั้งเมื่อปี 1364) ห้องสมุดที่นี่เป็นอาคารเก่าแก่ที่สุดของคราโคว์ มีหนังสือมากกว่า 4 ล้านเล่ม และเป็นคลังเก็บเอกสารสมัยกลางที่เขียนด้วยมือจำนวนมาก รวมถึงเอกสารที่เขียนโดยนิโคลาส คอร์เปอร์นิคัส นักดาราศาสตร์ที่มีชื่อเสียงชาวโปแลนด์ และทุกชั่วโมงจะมีการบอกเวลาเป็นเสียงดนตรี โดยมีหุ่นหลายตัวหมุนออกมาทางช่องบนผนังอาคารห้องสมุด ทำให้มีผู้คนต่างไปคอยชมและถ่ายรูปช่วงเวลาที่สำคัญนี้เป็นจำนวนมาก 

      บริเวณจัตุรัสกลางเมืองรายล้อมด้วยอาคารที่มีความเก่าแก่ เช่น โบสถ์เซนต์แมรี่ ศูนย์ค้าผ้า(Cloth Hall) หอคอยศาลากลางเมือง (Town Hall Tower) ฯลฯ ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญของคราโคว์และมีประวัติความเป็นมายาวนานน่าสนใจ ภายในโบสถ์เซนต์แมรี่มีการประดับประดาอย่างสวยงาม ที่มีชื่อเสียงคือฉากกั้นบริเวณแท่นบูชา ทำด้วยไม้แกะสลัก ส่วนศูนย์ค้าผ้า ในสมัยโบราณก็เป็นสถานที่ค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างซีกโลกตะวันออก เช่น ผ้าไหม เครื่องเทศ หนังสัตว์ ขี้ผึ้ง กับสินค้าของโปแลนด์ เช่น ผ้าทอ เกลือ ตะกั่ว ปัจจุบันชั้นล่างเป็นแหล่งขายของที่ระลึก บริเวณชั้นบนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีศิลปะ เช่น ภาพเขียนจำนวนมากตั้งแสดงอยู่ 

      ยามบ่ายที่จัตุรัสกลางเมือง บรรยากาศพลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยวจำนวนมากมายในวัยต่างๆ ทั้งเด็กนักเรียน วัยรุ่น จนถึงผู้สูงอายุ บริเวณจัตุรัสยังมีบริการรถม้าสำหรับนักท่องเที่ยวนั่งชมเมือง สารถีอยู่ในชุดเครื่องแบบที่ดูสง่า ภูมิฐาน ส่วนม้าและรถก็ได้รับการตกแต่งสวยงาม เวลารถม้าวิ่งไปตามถนนในบริเวณจัตุรัสมีเสียงกุบกับๆ ก็สร้างบรรยากาศย้อนยุคได้ดีทีเดียว 

222A2373.jpg
03.222A2473.jpg

© 2018 by Truenaturephotos. All Rights Reserved

bottom of page