
บทความ
Dinagyang Philippines Cartival
คุณชัยวุฒิ สุทธิบุตร...เรื่อง
คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...ภาพ
เมื่อกล่าวถึงนักรบและการเต้นระบำเข้ากับเสียงกลอง เรามักจะนึกถึงนักรบของชนเผ่าในแอฟริกา หรือนักรบชนเผ่าอินเดียนแดงในอเมริกาสมัยยุคบุกเบิก แต่นี่เป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของเรา นักรบชายและหญิงเผ่าต่างๆ ที่มีร่างกายสีน้ำตาลดำ อันเกิดจากขี้เถ้าและสีที่ถูทาบนตัวและใบหน้า สวมหมวกขนนกสีสันสดใส สวมกำไลมือและเท้าทำจากหินและแก้วสีต่างๆ เป็นประกายดั่งสายรุ้ง เต้นและกระโดดตามจังหวะกลองสุดเร้าใจ ด้วยลีลาที่สวยงามโดยพร้อมเพรียง อันเป็นผลจากการฝึกซ้อมอย่างหนักเป็นเวลานาน
นักรบ กลอง ระบำ
ถูกแล้วครับ ผมกำลังพูดถึงประเทศฟิลิปปินส์ ในเทศกาลตินาญัง (Dinagyang) ของเมืองอิโล อิโล (Iloilo) จังหวัดอิโลอิโล บนเกาะพาเนย์ (Panay) ซึ่งอยู่ค่อนไปทางใต้ของประเทศ ใช้เวลาเดินทางด้วยเครื่องบินจากมะนิลาราว 1 ชั่วโมง หรือทางเรือเฟอร์รีประมาณ 20 ชั่วโมง ถ้าจะไปด้วยรถยนต์ ต้องเอารถลงเรือเฟอร์รีที่วิ่งระหว่างเกาะใหญ่ๆ ทั่วประเทศ เพราะฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีเกาะมากที่สุดของโลก คือ 7,107 เกาะ การเดินทางจึงต้องพึ่งเรือและเครื่องบินเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นการเดินทางภายในเกาะ
ว่ากันว่าเมื่อ 30,000 ปีมาแล้ว เกาะต่างๆ เหล่านี้เป็นผืนแผ่นดินใหญ่ มีทางเชื่อมต่อกับแหลมมลายู (Malay Peninsula) สุมาตราบอร์เนียว ซาราวัก และผืนแผ่นดินทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย ด้วยชาวพื้นเมืองฟิลิปปินส์ดั้งเดิมเป็นชาวอะบอริจินส์ (Aborigines) จากบอร์เนียว สุมาตรา มีลักษณะผมหยิกดำ ผิวสีเข้ม คล้ายนิโกรในแอฟริกา จึงเรียกว่า Negrito อันเป็นลักษณะของชนเผ่าดั้งเดิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พวกที่ข้ามไปฟิลิปปินส์เรียกว่าเออีตาส์ (Aetas) ซึ่งมีหลายเผ่า อาศัยตามเกาะต่างๆ และเนื่องจากเป็นเกาะ ความเจริญเข้าถึงยาก เครื่องดนตรีจึงมีแต่กล่อง อาวุธมีแต่หอกกับธนู เป็นที่มาของเทศกาลต่างๆ ของฟิลิปปินส์ที่มีการเขียนหน้าตาเหล่านักรบ ทาร่างกายเป็นสีดำหรือน้ำตาลดำ ถือหอกและธนู เต้นระบำเข้ากับเสียงกลอง


เทศกาลตินาญังของจังหวัดอิโล อิโล จัดขึ้นทุกวันอาทิตย์ที่สามของเดือนมกราคม มีที่มาจากขบวนแห่รับพระรูปของพระเยซูน้อย (Santo Nino หรือ Child Jesus) ที่บาทหลวงชาวสเปนนำเข้ามาในฟิลิปปินส์หลายร้อยปีมาแล้ว โดยนับถือว่าพระองค์ช่วยขับไล่โจรสลัดซึ่งมักมารุกรานชาวเกาะในสมัยโบราณ ทุกปีชาวเมืองจะแห่พระรูปไปตามถนนในเมือง ต่อมาจึงเปลี่ยนแปลงเป็น การประ- กวดขบวนแห่และการเต้นรำตามท้องถนน โดยเพิ่มวันงานขึ้นอีก 1 วัน เป็นวันเสาร์ที่สามของเดือนมกราคม เรียกว่า “Kasadyahan” แปลว่า “ความสุข หรือความสนุก”
ขบวนแห่ที่เต้นระบำในวัน Kasadyahan แต่งกายในชุดพื้นเมืองดั้งเดิมทั้งหญิงและชาย แต่ละขบวนเรียกเป็นเผ่า (Tribe หรือ Tribu) แต่ละเผ่ามีการแสดงเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสมัยโบราณ ดนตรีประกอบใช้ดนตรีได้ทุกชนิด ถือเป็นการอุ่นเครื่องก่อนถึงวันจริง วันอาทิตย์ที่สามของเดือนมกราคมจึงจะเป็นตินาญังของจริง ผู้แสดงต้องทาหน้าตาและร่างกายด้วยสีดำ หรือน้ำตาลดำ ผู้ชายแต่งกายเป็นนักรบโบราณ มีหมวกขนนกสีสันต่างๆ กัน และถือ
อาวุธ เช่น หอกหรือธนู ผู้หญิงก็นุ่งกระโปรงหญ้า และทาตัวด้วยสีน้ำตาลดำเช่นกัน ที่สำคัญคือทุกเผ่าจะต้องมีรูปพระเยซูน้อยเป็นสัญลักษณ์
Iloilo เมืองประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
พวกเราเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณเที่ยงคืน ถึงสนามบินกรุงมะนิลาประมาณตี 4 ต่อเครื่องบินภายในประเทศตอน 8 โมงเช้า ถึงอิโล
อิโล ประมาณ 9 โมง พอถึงสนามบินก็ได้ยินเสียงกลองดังกระหึ่ม ปรากฏว่านักรบเผ่าหนึ่งมาเต้นต้อนรับผู้โดยสารถึงลานในสนามบิน แค่ Sample ก็น่าดูแล้ว
ที่สนามบินผู้มารับเราคือ Mr. Jose Librodo ที่มีบ้านเกิดอยู่ที่นี่ และเคยอยู่เมืองไทยหลายปี มาพร้อมกับทีมงาน คือ คุณ Jessica Solinap Gallega และคุณ Fredilyn Samoro หรือ Freddie สองสาว (ไม่น้อย) ที่มีอัธยาศัยดี
หลังจากเข้าที่พักในเมือง เราก็ไปที่มหาวิทยาลัย West Visayas ซึ่ง Mr. Jose ไกด์กิตติมศักดิ์ของเราไปติดต่อขอถ่ายรูปการซ้อมใหญ่ก่อนเข้าแข่งขันการเต้น Kasadyahan ในวันรุ่งขึ้น เมื่อนักศึกษาเริ่มซ้อมด้วยชุดการแสดงจริงเท่านั้น เราก็ตกตะลึง เพราะสวยงามมาก
หลังจากชมการซ้อมใหญ่ของนักศึกษา เราเดินทางไปที่โบสถ์ป้อมเมียเกา (Miag-ao ไม่ใช่เมียเก่านะครับ) โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2329 โดยผู้สอนศาสนาชาวสเปน ทางยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2536 ศิลปะการก่อสร้างเป็นแบบบาร็อก (Baroque) ด้านหน้าสลักนูนเป็นลายรูปต้นมะพร้าวแผ่กิ่งก้านสาขาไปทุกทิศ
ปิดท้ายด้วยการไปที่โบสถ์ St. Elizabeth of Hungary Cathedral หรือเรียกกันสั้นๆ ว่าโบสถ์ฮาโร (Jaro Cathedral) เพราะอยู่ในเขตฮาโล ในเมืองอิโล อิโล โบสถ์นี้สร้างเสร็จเมื่อ ปี พ.ศ. 2407 พังเพราะแผ่นดินไหวเมื่อปี พ.ศ. 2491 แล้วก่อสร้างขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ. 2499 เป็นแบบบาร็อกผสมโรมัน(Romaneque) ถือเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ประจำชาติของนิกายโรมันคาทอลิก ภายในโบสถ์มีคริสต์ศาสนิกชนมาจุดเทียนเพื่อบูชาพระเยซูด้วยความศรัทธาอย่างยิ่ง สมกับที่ฟิลิปปินส์เป็นประเทศเดียวในเอเชียที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์


ระบำวัฒนธรรมและระบำนักรบ
รุ่งขึ้นเรารีบตื่นกันแต่เช้าเพื่อไปจองที่นั่ง เวทีชมขบวนแห่ที่ใกล้โรงแรมที่สุดนั้น เดินออกไปเพียง 200-300 เมตรก็ถึงแล้ว แต่ที่สำคัญคือที่นั่งจะถ่ายรูปให้ได้ดีต้องเป็นแถวหน้าสุดเท่านั้น
ขบวนนักเต้น Kasadyahan หรือระบำวัฒนธรรมจะเริ่มผ่านมาที่สแตนด์ตั้งแต่ 9 โมงเช้า แต่ละขบวนใช้เวลาเต้นประมาณ 15 นาที รวมทั้งหมดประมาณ 13 ขบวน ก็ 3 ชั่วโมงกว่า เราต้องนั่งตากแดด (แถวหน้านี่ครับ ไม่ตากแดดก็ต้องแถวหลังๆ แต่ถ่ายรูปไม่ได้) แต่ก็แสนจะคุ้มค่า เพราะขบวนแรกเต้นได้อย่างสวยงาม ดูท่าเต้นและการแสดงแล้วต้องยอมรับว่าสุดยอดจริงๆ ชาวฟิลิปปินส์นั้นมีศิลปะอยู่ในหัวใจ เกือบทุกคนสามารถร้องเพลง เล่นดนตรีได้ เมื่อได้แสดงออกก็

เต็มที่ เมื่อคิดถึงความทุ่มเทของเขาแล้วต้องยกนิ้วให้ เพราะต้องเต้นถึง 3 ชั่วโมงท่ามกลางแดด แต่ละชนเผ่าจึงต้องเตรียมทั้งหมอ พยาบาล และรถพยาบาลไว้คอยดูแลตลอดเวลา
วันอาทิตย์จึงเป็น Dinagyang หรือระบำนักรบ ที่ผู้เต้นแต่งกายเป็นนักรบเผ่าต่างๆ ดนตรีมีกลองอย่างเดียว แต่เร้าใจมาก ทุกเผ่าเต้นกันอย่างเต็มที่ ทั้งกระโดด วิ่ง หมุนตัว สีสันสด ใส แต่ละเผ่ามีเอกลักษณ์การเต้นที่แตกต่างกันไป ทุกเผ่าจะมีขนนกหลากสีประดับบนศีรษะ แต่ละกลุ่มเตรียมตัวกันมาเต็มที่ทั้งเครื่องแต่งกาย การออกแบบท่าเต้นรำ (Choreograph) การให้เสียงเพลงด้วยเสียงกลอง การเต้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เป็นจังหวะพร้อมเพรียงกันท่ามกลางแดดร้อนจ้า ไปตามถนนสายต่างๆ และลานการแสดงซึ่งมีถึง 4 ลานรอบเมือง ทุกเผ่าต้องไปแสดงที่ลานทั้งสี่นี้ เพราะจะมีกรรมการให้คะแนนประจำทั้ง 4 ลานเพื่อเอาคะแนนรวมไปตัดสินว่าเผ่าไหนจะได้ที่หนึ่ง ผู้ชนะในการแข่งขันตินาญังยังต้องไปแข่งขันอีกครั้งในระดับชาติที่เมืองหลวง แข่งกับผู้ชนะของแต่ละเมืองทั้งฟิลิปปินส์ แต่ดูที่อิโล อิโลนี่ก็พอแล้วครับ เพราะ 4-5 ปีหลังมานี้ ผู้ชนะของอิโล อิโลได้รับรางวัลชนะเลิศการแข่งขันระดับชาติเกือบทุกครั้ง ปี 2555 นี้ก็เช่นเดียวกัน
ช่วงเดือนมกราคมของทุกปี ผมขอชวนให้ไปชมเทศกาลตินาญัง ที่เมืองอิโล อิโล ดูนะครับ นอกจากจะอยู่ใกล้บ้านเรา ค่าเครื่องบินถูก ค่ากินอยู่ไม่แพง อาหารอร่อย ยังมีโบราณสถานมรดกโลกให้ชม ผู้คนรื่นเริงและอัธยาศัยน่ารัก โดยส่วนตัวผมว่าการได้ชมการเต้นของเหล่านักรบกับเสียงกลองที่แสนสนุกสุดเร้าใจ จะทำให้คุณลืมเทศกาลมาร์ดิกราส์ของบราซิลไปได้เลยทีเดียว



