top of page
Misty Woodland

สวัสดิ์วงศ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา

บทความ

      ที่ปราสาทดูวิสิบ เราเจอปัญหาอีกแล้วครับ ปัญหาเดิมๆ คือห้ามถ่ายทํา ต้องไปขอจากรัฐมนตรีอะไรก็ว่ากันไป ระหว่างที่เกิดการเจรจาต่อรอง ช่างภาพกองโจรห้าร้อยอย่างผมก็ถือโอกาสเดินว่อน เก็บภาพไปจนรอบบ้าน

      เมื่อการเจรจาจบลงโดยมีข้อสรุปว่าไม่ให้ถ่าย พวกเราจึงพาเหรดกันออกมาราวกับไม่ง้อ แต่จริงๆ คือไม่รู้จะถ่ายอะไรแล้วต่างหาก

      การถ่ายทําที่ปราสาทดูวิสิบ จึงเสร็จสิ้นก่อนเวลาเล็กน้อย แต่ก็ดีครับ เพราะจากนี้ เราต้องเดินทางข้ามเมืองกันอีกหลายชั่วโมง

      จุดหมายปลายทางของเราคือเมืองที่ชื่อ hammering hausen เป็นเมืองที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางมาก ถึงจะไม่ค่อยมีอะไรที่โดดเด่น แต่ก็เป็นเมืองที่มีที่พัก โรงแรม รีสอร์ทต่างๆมากเป็นพิเศษ เนื่องจากทางหลวงสายที่ตัดผ่าน คือเส้นทางหลักของนักท่องเที่ยวที่ต้องมา และด้วยระยะทางไกลๆก็ทําให้นักเดินทางต้องหาที่แวะพัก ซึ่งที่เมืองนี้เขามีทุกอย่าง ปั๊มนํ้ามัน ร้านซ่อมรถ โรงแรม ภัตตาคาร ร้านค้า มีหมด เป็นเมืองของการแวะพักจริงๆ

      พวกเรามาถึงโรงแรมชื่อ hammerstein lodge ราวๆ สามทุ่มอากาศเย็นเฉียบตามเคย ไม่รู้จะหนาวไปไหน พอมาถึงก็รีบดิ่งเข้าภัตตาคารของโรงแรมทันทีด้วยความหิว

      นับนิ้วดูนี่ก็เข้าวันที่สี่ของการเดินทาง ผมเพิ่งสังเกตุว่าอาหารที่เราทานกันทุกมื้อ ตั้งแต่ที่แอฟริกาใต้ เป็นวัฒนธรรมของชาวตะวันตกทั้งนั้น ไม่ว่าจะซุป ขนมปัง สลัด สเต็ก ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะรากเหง้าของชาวตะวันตก หรือจะเรียกว่าผลพวงของการล่าอาณานิคม ยังฝังรากลึกอยู่ในวิถีชีวิตของชาวนามิเบีย เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร เขาก็เอาวัฒนธรรมมาฝังลงไปด้วย ก็หวังว่าอีกไม่นาน ชาวนามิเบียจะค่อยๆช่วยกันปลูกฝังสิ่งที่เป็นตัวตน และถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น สมกับที่ช่วยกันฝ่าฟันจนประเทศมีอิสรภาพเมื่อ 15 ปีที่แล้ว

      ที่บ่นๆ เรื่องอาหารยุโรปนี่ มานึกๆ ดู คืนนั้นผมก็ฟาดเรียบนะครับ แหะ แหะ หิวขนาดนั้น hammerstein lodge เป็นโรงแรมที่ผมจําอะไรได้น้อยเต็มที เพราะเราเข้ามาถึงที่นี่ราวสามทุ่ม และออกไปตอนเช้ามืด ประมาณหกโมงเศษ จะไปทันเห็นอะไร

Namibia_098.JPG
IMG_6249.jpg

ขนาดห้องอาหารของโรงแรมยังไม่เปิดเลยครับ ทั้งโรงแรมมีแต่เจ้าหน้าที่มาเช็คเอ๊าท์ให้พวกเราอยู่แค่คนเดียว รู้งี้ขโมยทีวีเสียให้เข็ด

      ได้กาแฟกันไปคนละแก้ว แล้วก็กลับมาใช้ชีวิตในรถกันต่อหลับๆ ตื่นๆ จนรถมาจอดสนิทที่โลเคชั่นที่สาม ที่เรียกว่า ซอสซุสเฟลย์ ( sossusvlei ) หมายถึงแอ่งกะทะ ซึ่งที่นี่ เป็นบริเวณกว้างขวาง เป็นที่ตั้งของสันทรายที่สูงที่สุดในโลก เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาตินามิบน็อคลัฟท์ และแน่นอน เป็นส่วนหนึ่งของทะเลทรายนามิบที่แสนจะกว้างใหญ่ไพศาล กินเนื้อที่ราว 20 เป็นเซ็นต์ของประเทศนามิเบียเลยทีเดียว

      เช้านี้เรามีแผนจะไปถ่ายทําสันทรายนับร้อยลูก ไปดูซอสซุสเฟลย์ แอ่งกะทะที่แห้งแล้ง เหลือแต่ซากเกลือฉาบทาบผิวดินจนกลายเป็นสีขาวโพลน และแน่นอนครับ เราต้องไต่ขึ้นไปบนสันทรายสักลูก ฝากรอยเท้ายืนยันว่าข้านี้มาถึงแล้ว แผนการณ์อันงดงามนี้วางไว้ดิบดีโดยคุณปองพล โดยไม่รู้ว่า ความลําบากลําบนรออยู่ข้างหน้าอีกแล้ว

      จะเจออะไรอีก ติดตามได้ตอนหน้านะครับ ตอนนี้ ขอลาไปพร้อมกับเสียงหัวเราะของเอลซ่า หลังจากทุกคนพบว่า เธอลืมอาหารเช้าไว้ที่โรงแรม

สวัสดีครับ

Namibia_154.JPG
Namibia_135.JPG

© 2018 by Truenaturephotos. All Rights Reserved

bottom of page