
บทความ
สุดหล้า นามิเบีย
คุณสวัสดิ์วงศ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา...เรื่อง
คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...ภาพ
ผมกลับจากนามิเบียมาราวๆ สองอาทิตย์ แต่แปลกที่ยังนึกถึงที่นั่นอยู่เรื่อย พยายามนึกทบทวนว่าอะไร ที่ทําให้นามิเบีย มีความพิเศษกว่าประเทศอื่นที่เคยไปเยือน
หลังจากนําเทปที่ไปถ่ายทํามาตัดต่อ ออกรายการสุดหล้าฟ้าเขียวชุดนามิเบียได้สักสามสี่ตอน ผมก็พบแล้วว่า ทําไม ถึงยังสนใจที่นั่นอยู่ พ่อแม่พี่น้องครับ ผมจะเล่าให้ฟัง
นามิเบียเป็นประเทศที่สวยงามนะครับ มีธรรมชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจอยู่หลายแห่ง วัฒนธรรมก็ผสมผสานกันได้อย่างน่าสนใจ ที่สําคัญ การเดินทางเที่ยวนี้ทดสอบความอดทนขั้นสูงทีเดียว ทั้งทริปนั้นเต็มไปด้วยบททดสอบ ทุกวันต้องเจอเรื่องสนุกๆ นอกโปรแกรมกันอยู่ตลอด เรียกว่าทํางานไป แก้ปัญหาไป สมัยนี้จะให้คําจํากัดความว่ายังไงไม่รู้ แต่ถ้าเมื่อก่อน ต้องเรียกว่าโหด มัน ฮา
เอาแค่เรื่องการเดินทางตั้งแต่ออกจากบ้าน ถ้าเล่ากันทุกช็อตทุกตอน เห็นทีต้องใช้สักสิบหน้ากระดาษ แต่ก็อดที่จะพูดถึงไม่ได้ เพราะเป็นประสบการณ์ประเภทฝังแน่น ผมจะรวบๆ ให้ฟังนะครับ
พวกเราเก้าชีวิต คละวัย ออกเดินทางจากสุวรรณภูมิตั้งแต่คํ่าของวันหนึ่ง ไปต่อเครื่องที่สิงคโปร์ เตร็ดเตร่กันอยู่นาน จากนั้นก็ขึ้นเครื่องไปลงที่เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ ที่นี้ก็นั่งรถกันยาว นั่งกันเหมือนจะไม่มีวันถึง
จนราวสามทุ่ม จึงเข้าที่พักที่เมืองเล็กๆ ทางฝั่งตะวันตกของแอฟริกาใต้ชื่อ อัพพิงตัน ( Upington ) ตอนไปถึงนี่มืดตื๋อ พวกเราทั้งหนาวทั้งเหนื่อย อากาศเย็นเฉียบราวๆ สักสิบห้าองศา หลังอาหารคํ่าก็เลยสลายตัวกันอย่างรวดเร็ว

ผมนั่งๆ นับเวลาดู ผ่านมาราว 22 ชั่วโมง ฉะนั้น ที่เล่าๆ มานี้ ยังไม่ข้ามไปสัมผัสประเทศนามิเบียเลยนะครับ หนําซํ้า รายการที่จะไปถ่ายทํา ยังไม่ได้เริ่มเลยสักช็อต
จนรุ่งเช้า ตอนตื่นมาทานอาหาร ถึงได้เห็นว่าเกสต์เฮ้าส์ของเราที่ชื่อ three gables ดัดแปลงมาจากบ้านเก่า แต่ยังแข็งแรง และตกแต่งใหม่เพียงน้อยนิด เรียกว่ายังเป็นวิถีชีวิตเดิมๆ สบายๆ ไม่รู้สึกว่าเป็นบ้านที่มาเช่าเขานอน คล้ายกับเราไปเที่ยวบ้านเพื่อนยังไงยังงั้น
และคณะคนไทยก็แสดงความกันเองด้วยการเดินถ่ายรูปบ้านเขาไปทั่ว เข้าห้องนั้นทะลุห้องนี้ ไปโผล่ออกที่สวนหลังบ้านบ้าง จนหนําใจถึงได้ทยอยกันขนของขึ้นรถ โดยมีคุณเอลซ่า ไกด์ร่างใหญ่ชาวแอฟริกาใต้มาคอยส่งเสียงเตือน เพราะได้เวลาออกเดินทางแล้ว
เรื่องของเอลซ่านี่ เดี๋ยวจะมีบทบาทขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดว่า เอลซ่าคงจะมีเชื้อหรือมีต่อมอะไรสักอย่างที่คล้ายกับฮิตเลอร์ เผลอๆอาจจะสืบเชื้อสายกันมาก็เป็นได้ เพียงแต่ไม่มีหนวดและอ้วนกว่า อ่านไปเรื่อยๆ นะครับ
เราใช้เวลาอีกเกือบสองชั่วโมง จนในที่สุดก็มาถึงด่านพรมแดนแอฟริกาใต้ นามิเบีย แค่จะข้ามด่าน เรื่องวุ่นๆก็ยืนรอเราอยู่ แหมคราวนี้มาแต่เช้า
เรื่องของเรื่องก็คือ การผ่านด่านออกจากแอฟริกาใต้นั้น อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ทั้งหมด ยํ้าว่าทั้งหมดนะครับ นั่นหมายถึงกล้องทุกตัว ทั้งกล้องภาพนิ่งและวิดีโอ จะต้องกรอกเลขหมายประจําเครื่อง หรือ serial number ซึ่งทั้งคณะเรา มีกล้องกันนับสิบตัวเห็นจะได้ ปัญหาคือ ไอ้ตัว เลขพวกนี้เราเคยรู้เสียเมื่อไหร่ว่ามันอยู่ตรงไหน
ก็เลยต้องมาพลิกซ้ายพลิกขวา หากันใหญ่ เท่านี้ยังไม่พอ นอกจากกล้อง ก็ต้องมีเลนส์ต่างๆประมาณสิบกว่าตัว ลามไปถึงโน้ตบุ๊คหกตัวโทรศัพท์มือถือ และอะไรต่อมิอะไรที่ไม่คาดว่า ชีวิตนี้ต้องมารื้อหา serial number
ระหว่างนี้เอลซ่าก็ทําหน้าที่ไกด์ได้ดีมากด้วยการมายืนเร่งพวกเรายิกๆ กลัวจะหลุดโปรแกรมเดินทางอันยาวเหยียด นั่นไงต่อมฮิตเลอร์ของเธอกําเริบแล้วครับ
ฝ่ายชาวสยามนั้น พอเร่งๆรีบๆ ก็กลายเป็นขํา หาไปฮาไป แหม ถ้าลอกกันได้คงเสร็จไปนานแล้ว เอลซ่าเห็นเราหัวเราะกันไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็คงสงสัย ผมอธิบายไปว่านี่เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนไทย เจออะไรที่กดดันมากๆ เราจะหัวเราะให้อะไรต่อมิอะไรมันดีขึ้น ไม่เครียด เอลซ่าพยักหน้าหงึกหงักโดยที่ผมไม่รู้ว่า วัฒนธรรมของเรา จะโดนไกด์ร่างใหญ่ยืมไปใช้ในภายหลัง



ช่วงโกลาหลผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ก็ได้ฤกษ์เดินทางเข้าสู่ประเทศนามิเบียแล้วครับ
จากด่านชายแดน รถสปรินเตอร์ 16 ที่นั่ง พาเรามุ่งหน้าไปโลเคชั่นแรกสุดที่ชื่อ หุบผาแม่นํ้าปลาหรือ fish river canyon พอเห็นวิวกว้างๆจากที่นี่ ไม่มีใครพูดถึงเรื่อง serial number กันอีกเลย
fish river canyon เกิดจากการเคลื่อนและบิดตัวอย่างรุนแรงของเปลือกโลกนับล้านปีมาแล้ว จนเกิดเป็นร่องเหมือนรอยแผ่นดินแยกขนาดใหญ่ กลายเป็นหุบเหวที่มีความยาวถึง 185 กิโลเมตร แต่ละปีจะมีช่วงนํ้าหลาก ซึ่งจะมีปริมาณมหาศาล เยอะ สูง และไหลเชี่ยว จนกลายเป็นช่วงที่ low season เพราะไปยืนใกล้ๆแล้วอันตรายมาก แต่พอนํ้าลด ก็ลดจนหดหาย กลายเป็นทางเดินยาวเหยียด คดเคี้ยวไปมา พวกเราสามารถลงไปเดินดูวิวในจุดที่ตํ่าสุดได้
และด้วยความยาวขนาดนี้ ไม่พ้นมนุษย์จอมซน จัดแจงให้ fish river canyon เป็นที่ท่องเที่ยวยอดนิยมจนได้ โดยเฉพาะผู้พิศมัย hiking เพราะต้องปีนขึ้นลงไปตามรอยแยก และเดินรอนแรมกันถึง 5 วันด้วยระยะทาง 85 กิโลเมตร เดชะบุญที่กองถ่ายของเราไม่มีเวลาขนาดนั้น
ที่พักในบริเวณ fish river canyon เป็นรีสอร์ทที่สวยงามชื่อ Ais-Ais อ่านว่า ไอ-อายส์ครับ ดูดีมีตระกูลทีเดียว แต่บังเอิญวันที่พวกเราไปถึงเขาปิดซ่อม คณะชาวไทยงงเป็นไก่ตาแตกเพราะจองไว้ดิบดี
แต่ที่งงเป็นไก่ตาแตกกว่าคือคุณเอลซ่า ยอดไกด์ เพราะเป็นความรับผิดชอบของเธอล้วนๆ
เรื่องของเรื่อง ที่นี่คือที่พักคืนแรกที่เราเข้ามาประเทศนามิเบียเสียด้วย เมื่อไม่รู้จะทํายังไง เอลซ่าจึงได้แต่หัวเราะ สําหรับผมนับว่าเป็นโชคดีนะครับ การได้นอนเต๊นท์นั้นได้บรรยากาศไปอีกแบบ กันหนาวได้ดีกว่าที่คาด ตัวเต๊นท์หลังใหญ่ทีเดียว ข้างในมีพื้นที่สําหรับเก็บของได้เหลือเฟือ
และมีเตียงสองเตียงให้นอนได้สบาย อาจจะวุ่นหน่อยกับการที่ต้องจัดแจงเรื่องชาร์จแบตเตอรี่อุปกรณ์ต่างๆซึ่งมีอยู่เยอะ ได้นอนเต๊นท์กันสองคืน เราก็เสร็จสิ้นการถ่ายทําที่ fish river canyon และออกเดินทางกันต่อ
รถเมอร์ซิเดสสปรินเตอร์ พาเรามุ่งหน้าขึ้นเหนือ ปุเลงไปครึ่งวัน แวะโน่นนี่ตามประสาคณะช่างภาพ จนมาถึง location ที่สอง คือ ปราสาทเก่าแก่ที่มีชื่อว่า duwisib castle
ปราสาทเก่าหลังนี้ก่อสร้างโดยนายทหารชาวเยอรมันชื่อ heinrich von wolf เข้ามาซื้อดินและปลูกบ้านหลังใหญ่ในช่วงที่เยอรมันยังครอบครองดินแดนแถบนี้ เพราะฉะนั้น สถาปัตยกรรมและการตกแต่ง จึงเป็นแบบชนชั้นสูงของเยอรมัน มีห้องโถง ห้องหับต่างๆหลายห้อง หลังบ้านจัดเป็นสวนโล่งๆที่เรียกว่า courtyard ( บ้านเราคงเรียกลานส้มตำ ) ซึ่งเป็นลักษณะการจัดผังบ้านแบบชาวตะวันตกในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปราสาทเก่าแก่หลังเดิมนั้นใหญ่โต มีห้องถึง 20 ห้อง แต่หลังที่เราเห็นในปัจจุบันผ่านการบูรณะมาหลายครั้ง เพราะช่วงสงคราม เจ้าของบ้านต้องรํ่าลาภรรยาไปร่วมรบกับกองทัพเยอรมัน และเสียชีวิตในสงคราม ฝ่ายภรรยาผู้น่าสงสารอยู่ลําพังกับความเศร้าโศกไม่ได้ ก็เลยขายปราสาทหลังนี้
ซึ่งก็เปลี่ยนมือมาเรื่อย ปัจจุบันเป็นสมบัติของรัฐบาลนามิเบีย เก็บสะสมข้าวของเครื่องใช้และอาวุธโบราณ รวมถึงภาพเขียนสีอีกจํา นวนมาก และเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี 1991



