
บทความ
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จาก Skogafoss ก็มาถึงธารน้ำแข็ง Myrdalsjokull (แปลว่าธารน้ำแข็งแห่งหุบเขาไมร์) เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่กว่า Eyjafjallajokull มีถ้ำน้ำแข็งหลายถ้ำ แต่ละถ้ำมีน้ำแข็งไหลย้อยลงมาที่ปากถ้ำ เมื่อกระทบการหักเหของแสง เกิดเป็นสีฟ้าและสีเขียวใส ได้บรรยากาศเหมือนอยู่ในขั้วโลก
ไปตามถนนสาย 1 ประมาณ 40 นาทีก็ถึง Dyrholaey Nature Preserve ซึ่งเป็นหน้าผาสูงชัน ยื่นเข้าไปในทะเล เมื่อขึ้นไปบนหน้าผา มองไปทางเหนือจะเห็นธารน้ำแข็ง Myrdalsjokull ทางตะวันตกเป็นหาดทรายดำ ข้างหน้าเป็นหินลาวาก้อนใหญ่ที่มีรูตรงกลางเป็นรูปครึ่งวงกลม เป็นต้นเหตุของชื่อ Dyrholaey ซึ่งแปลว่าเกาะภูเขาที่มีรู ที่จริง Dyrholaey เป็นแหลมใต้สุดของไอซ์แลนด์ ไม่ใช่เกาะ ในช่วงฤดูร้อน นกพัฟฟินจำนวนมากจะมาทำรังที่หน้าผา นอกจากพัฟฟินแล้ว ยังมีนกอื่นๆ อีกมาก เช่น Gannet, Razorbill, Fulmar, Guillemot ฯลฯ ถ้าจะดูนกอย่างจริงจังต้องมาหน้าร้อนเท่านั้น
เราพักกินอาหารที่ปั๊มน้ำมันเมือง Vik ซึ่งเป็นหมู่บ้านใต้สุดของไอซ์แลนด์ มีประชากร 291 คน (ปี 2554) เนื่องจากอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง
Myrdalsjokull บนภูเขาไฟ Katla ถ้าภูเขาไฟระเบิดจะทำให้น้ำแข็งละลายท่วมทั้งหมู่บ้าน มีเพียงโบสถ์ประจำหมู่บ้านบนเนินเขาใกล้เมืองที่จะพ้นน้ำท่วมได้ ชาวเมืองจึงต้องฝึกการหลบภัยไปยังโบสถ์ในกรณีที่ภูเขาไฟระเบิด เป็นการป้องกันที่อิงกับธรรมชาติดีมาก

ใกล้กับ Vik เป็นชายหาดสีดำที่มีชื่อเสียง คือ Reymisfjara Beach ทรายสีดำทั้งหาดนั้นเป็นบะซอลต์ซึ่งเป็นหินภูเขาไฟ หรือลาวาที่เย็นลงอย่างรวดเร็วเมื่อไหลจากภูเขาไฟมากระทบผิวโลก ปี 2534 หนังสืออเมริกัน Islands Magazine ยกให้หาดนี้เป็น 1 ใน 10 หาดที่สวยที่สุดในโลก นอกจากทรายสีดำแล้ว ยังมีถ้ำบะซอลต์และมีเสาหินบะซอลต์โผล่จากท้องทะเล
ออกจาก Vik ไม่นานก็มาถึงน้ำตก Seljalandsfoss ซึ่งมีถ้ำด้านหลัง เราสามารถเดินไปข้างหลังน้ำตกเพื่อถ่ายภาพได้ แต่ต้องเป็นช่วงฤดูร้อน เพราะหน้าหนาวทางเดินมีน้ำแข็งจับ อันตรายมาก
ขากลับแวะเมือง Hveragerdi เมืองเล็กที่มีแผ่นดินไหวบ่อยที่สุดของไอซ์แลนด์ เพราะทั้งเมืองตั้งอยู่ในเขตภูเขาไฟ และมีบ่อน้ำพุร้อนใต้ดิน ทำให้เมืองนี้มีชื่อเสียงในการทำ Greenhouse โดยใช้ความร้อนจากบ่อน้ำพุร้อนใต้พิภพ ภายในเมืองเราจะเห็นควันคุกรุ่นลอยออกจากบ่อน้ำพุร้อนทั่วไป แผ่นดินไหวใหญ่สุดครั้งสุดท้ายในปี 2551 ทำให้บ้านเรือนพังไปมาก เราเข้าไปดูการแสดงแผ่นดินไหวและนิทรรศการเกี่ยวกับบ้านเรือนที่เสียหายจากแผ่นดินไหว แม้จะมีธรรมชาติที่พิสดาร และบางครั้งก็โหดร้าย แต่ชาวเมืองก็ยังอยู่ได้อย่างมีความสุข มี Greenhouse อยู่ทั่วไป มีร้านกาแฟ Shopping Center และอาคารก่อสร้างใหม่ๆ กลายเป็นเมืองที่มีความอุ่นจากน้ำพุร้อนท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของไอซ์แลนด์
วันต่อมา เราเดินทางไกลไปยังทะเลสาบน้ำแข็ง Jokulsarlon ซึ่งอยู่ห่างออกไปถึง 300 กิโลเมตร Jokulsarlon แปลว่าทะเลสาบแม่น้ำน้ำแข็งเป็นทะเลสาบน้ำแข็งติดกับอุทยานแห่งชาติ Vatnajokull มีน้ำแข็งก้อนใหญ่กลายเป็นภูเขาน้ำแข็งลอยอยู่ในทะเลสาบซึ่งมีความลึกถึง 248 เมตร ลึกที่สุดในไอซ์แลนด์ สถานที่นี้เป็นอันดับหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์ จากการจัดอันดับของเว็บไซต์ Trip Advisor
ระหว่างทางกลับ เราแวะชม Hofskirkja อันเป็นโบสถ์ในสไตล์โบราณที่ยังคงเหลืออยู่ ความพิเศษของโบสถ์นี้คือหลังคาปลูกหญ้าไว้เต็ม เป็น Turf Church หลังสุดท้ายที่สร้างแบบนี้
วันนี้เราเดินทางกลับเมืองไทย แต่เนื่องจากเป็นไฟลต์บ่าย เช้านี้จึงไปยังสถานที่ที่พลาดไม่ได้ คือ Blue Lagoon สัญลักษณ์หนึ่งของไอซ์แลนด์ ซึ่งตั้งอยู่บนทุ่งลาวาสีดำ ทะเลสาบ Blue Lagoon มีขนาดใหญ่ ลงไปแช่เป็นร้อยคนยังไม่อึดอัด น้ำเป็นสีฟ้าใสเพราะเป็นน้ำแร่ใต้ดินจากโรงงานพลังความร้อนใต้พิภพใกล้ๆ กัน ความลึกในทะเลสาบมีหลายระดับพอยืนได้ทุกคน รอบสระมีทางเดินไม้โดยรอบ มีน้ำตกร้อนช่วยนวดตัว มีห้องอบไอน้ำและห้องซาวน่า ใช้ได้ฟรี
ขึ้นจากทะเลสาบแล้ว เราไปกินอาหารที่ภัตตาคารของ Blue
Lagoon แล้วก็ขึ้นรถ Flybus ซึ่งมารับผู้โดยสารจาก Blue Lagoon ไปสนามบินอยู่เกือบตลอดเวลา จึงสะดวกสบายมาก


แม้เราจะอยู่ไอซ์แลนด์เพียง 5 วัน แต่ก็สุดประทับใจ มีทุกอย่างที่นักท่องเที่ยวผจญภัยต้องการ เป็นสวรรค์ของนักถ่ายภาพ สวรรค์ของนักช็อปปิ้งด้วย เพราะค่าของเงินไม่สูงมาก อากาศบริสุทธิ์ ผู้คนนิสัยดี ถนนหนทางดี อาหารดี ภูมิประเทศมีทั้งร้อนและเย็นแบบหลุดโลก สมกับชื่อ Land of Fire and Ice จะไปช่วงหน้าร้อนหรือหน้าหนาวก็สนุกเหมือนกัน ขอรับรอง
หมายเหตุ: ตัดตอนและเรียบเรียงจากสารคดีในนิตยสาร Nature Explorer ฉบับเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2556

