
บทความ
Iceland
Land of Fire and Ice
คุณชัยวุฒิ สุทธิบุตร...เรื่อง
คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...ภาพ
ไอซ์แลนด์ (Iceland) ดินแดนแห่งไฟและน้ำแข็ง ดินแดนสำหรับนักท่องเที่ยวผจญภัยที่ชอบธรรมชาติอันพิสดารและท้าทาย ดินแดนเหนือสุดของโลกที่หลายคนยังไม่เคยสัมผัส และเป็นดินแดนในฝันของใครหลายคน
เนื่องจากไม่มีเครื่องบินบินตรงจากประเทศไทยไปไอซ์แลนด์ จึงต้องบินไปประเทศที่สามารถขึ้นเครื่องไปไอซ์แลนด์ได้ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก จะสะดวกที่สุด เพราะมีสายการบินหลายสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายการบินแห่งชาติ คือ Icelandair มีเที่ยวบินจากยุโรปหลายจุดที่บินเข้าไอซ์แลนด์
ในช่วงปี พ.ศ.1413-1473 ไวกิงส์อพยพหนีภัยจากนอร์เวย์มาตั้งรกรากที่ไอซ์แลนด์ ตั้งชื่อดินแดนนี้ว่า Iceland (Island ในภาษาสแกนดิเนเวีย แปลว่าดินแดนแห่งน้ำแข็ง) เนื่องจากเห็นก้อนน้ำแข็งมากมายลอยในฟยอร์ด ไวกิงส์จากนอร์เวย์เหล่านี้เองที่เป็นต้นกำเนิดของชาวไอซ์แลนด์
จากโคเปนเฮเกนไปไอซ์แลนด์ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง มีเที่ยวบินบินตรงเข้าเมืองหลวง คือเรคยาวิก (Rekjavik) สะดวกและรวดเร็วมาก สนามบิน Keflavik International เป็นสนามบินขนาดเล็ก อยู่ห่างจากตัวเมืองเรคยาวิกประมาณ 50 กิโลเมตร
หลังจากเช็กเรื่องตั๋วรถโดยสารที่เราจองผ่านอินเทอร์เน็ตมาจากกรุงเทพฯ แล้ว ก็ต้องรีบไปแลกเงิน เราแลกไม่มากนัก เพราะที่ไอซ์แลนด์ใช้บัตรเครดิตกว่า 90 เปอร์เซ็นต์

เข้าที่พักเรียบร้อยก็ออกเดินเที่ยวเมือง อากาศหนาวมากขนาดเดือนเมษาฯ ใกล้หน้าร้อน อุณหภูมิยังอยู่ที่ 5 องศาเซลเซียส แถมลมแรงเพราะอยู่ใกล้ทะเล จุดหมายแห่งแรกคือโบสถ์ Hallgrimskirkja เป็นโบสถ์ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ สถาปนิกออกแบบให้เหมือนกับการไหลของลาวา ใช้เวลา 38 ปีในการสร้างโบสถ์นี้ หน้าโบสถ์เป็นรูปของ Leif Eriksson ไวกิงส์ที่ว่ากันว่าค้นพบอเมริกาก่อนโคลัมบัสประมาณ 500 ปี ข้างในโบสถ์มีออร์แกนยักษ์สูง 15 เมตร ซึ่งใช้งานได้จริง มีหอสังเกตการณ์ที่สามารถมองเห็นได้ทั้งเมืองและภูเขาที่อยู่โดยรอบ
จากนั้นเราก็เดินไปใกล้ถึงชายทะเล แล้วเดินกลับที่พักเป็น
วงกลม ผ่านถนน Langavegur และถนน Skolavordustigur ที่
เป็นถนนช็อปปิ้งสำคัญของเรคยาวิก เรคยาวิกเป็นเมืองหลวงเหนือสุดของโลก อากาศหนาวตลอดปี เป็นเมืองสวยแบบหมู่บ้าน ไม่ได้มีตึกสูงใหญ่เหมือนเมืองหลวงอื่นๆ ในยุโรป ร้านค้าตกแต่งอย่างสวยงาม รูปแบบของอาคารแต่ละหลังไม่ซ้ำกัน ภายนอกอาคารทาสีต่างๆ เหมือนลูกกวาด การที่อยู่ติดทะเลและทะเลสาบก็มีส่วนช่วยให้เมืองมีความน่าอยู่เพิ่มขึ้น ด้วยประชากรเพียง 120,000 คนในเมือง ทำให้ไม่อึดอัดหรือคับแคบ ถนนหนทางมีรถน้อย
เช้าวันรุ่งขึ้น เราไปตามเส้นทางวงกลมทองคำ (Golden Circle Route) ซึ่งเป็นเส้นทางวนประมาณ 300 กิโลเมตร โดยเริ่มจากเรคยาวิก ไปอุทยานแห่งชาติ Thingvellir น้ำตก Gullfoss บ่อน้ำพุร้อน Geyser และ Strokker หรือจะรวมปล่องภูเขาไฟ Kerid และน้ำตก Faxi เข้าไปด้วยก็ได้ แล้วกลับเมืองเรคยาวิก
ที่เรียก Golden Circle อาจมีที่มาจากน้ำตก Gullfoss ซึ่งหมายถึง Golden Falls หรือน้ำตกทองคำที่เป็นจุดหมายท่องเที่ยวหลักอยู่ด้วย หรืออาจจะมาจากเส้นทางนี้ทำเงินจากการท่องเที่ยวมากก็ได้ เส้นทางด้านนี้เป็นถนนสายที่ 1 (Route 1) ไปทางทิศใต้และตะวันตกเฉียงใต้ สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าสีเหลือง เห็นเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งอยู่ห่างออกไป เมื่อออกนอกเมืองมากขึ้น หญ้าจะหายไป กลายเป็นดินและหินลาวาสีดำอยู่บนเนินเขาสูงๆ ต่ำๆ โดยมีภูเขาและหิมะอยู่ห่างออกไป พื้นดินบางแห่งมีควันสีขาวคุกรุ่นลอยขึ้นมา เป็นควันจากบ่อน้ำร้อนใต้ดินที่มีรอยแตกให้ควันพวยพุ่งออกมา
นั่งรถประมาณชั่วโมงครึ่ง เราก็มาถึง Kerid Crater Lake ทะเลสาบสีมรกตปากปล่องภูเขาไฟสีเลือด มีทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟอยู่หลายแห่งในบริเวณนี้ เรียกรวมๆ กันว่าโซนภูเขาไฟตะวันตก (Iceland’s Western Volcanic Zone) แต่ Kerid มีชื่อเสียงที่สุด เนื่องจากอยู่ใกล้ถนนใหญ่ ไปถึงได้ง่าย หรืออาจจะเนื่องจากปากปล่องซึ่งเป็นหินภูเขาไฟสีแดงยังอยู่ในสภาพดี แม้จะอายุประมาณ 3,000 ปีแล้ว
จาก Kerid Lake อีกครึ่งชั่วโมงต่อมาเราก็มาถึงน้ำตก Faxi
ซึ่งเป็นน้ำตกที่ไม่สูงมาก แต่กว้าง และอีกเพียง 20 นาทีจากน้ำตก Faxi ก็มาถึง Gullfoss น้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอซ์

แลนด์ น้ำตกนี้ไหลมาจากแม่น้ำ Hvita ที่มีต้นกำเนิดจากทะเลสาบน้ำแข็ง Hvitavatn
น้ำจากธารน้ำแข็งปกติเป็นสีน้ำตาล เพราะได้นำพื้นผิวดินที่โดนน้ำแข็งกัดกร่อนมาด้วย เมื่อมาถึงน้ำตกที่ตก 3 ชั้น แล้วตกต่ออีก 2 ชั้น โดนแสงอาทิตย์สาดส่องจึงเป็นประกายสีทองงดงาม
เพียง 14 กิโลเมตรจากน้ำตก Gullfoss ก็มาถึง Geyser อภิมหาน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งขึ้นสูงในอากาศถึง 70 เมตร ทางไอซ์แลนด์เรียกว่า The Great Geyser เราเดินไปเพื่อจะดูน้ำพุร้อน Geyser เห็นคนมุงดูน้ำพุร้อนแห่งหนึ่งอยู่ ทุกๆ 5-10 นาทีจะมีไอน้ำพวยพุ่งมาสูงถึง 30 เมตร นี่คือ Strokker ซึ่งเป็นน้ำพุร้อนใกล้ๆ กับ Geyser ได้ความว่าเดี๋ยวนี้ Geyser ไม่ค่อยพุ่งขึ้นมาแล้ว เนื่องจากสมัยก่อนโน้นมีนักท่องเที่ยวโยนก้อนหินและ Carbolic Soap Powder เพื่อกระตุ้นให้ระเบิดลงไปมาก ทำให้หินไปอุดช่องทางระเบิด จึงระเบิดเพียงวันละ 2-3 ครั้ง หรือไม่ระเบิดเลย ถ้าจะรอก็อาจต้องรอหลายวัน
จาก Geyser ไปตามถนนสาย 37 และสาย 365 ก็ถึง Thingvellir อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไอซ์แลนด์ ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เป็นที่ตั้งของรัฐสภาประชาธิปไตยแรกในโลก ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1473 ตัวอุทยานฯ ตั้งอยู่ตรง Riff Valley ที่เกิดจากรอยต่อของ North America และ Eurasian Tectonic Plates เราจะมองเห็นรอยแยกที่เป็นร่องลึกลงไปในชั้นดินเป็นแนวยาว รอยแยกนี้จะเคลื่อนตัวห่างจากกัน 1 มิลลิเมตร ถึง 18 มิลลิเมตร ต่อปี


วันที่ 3 เราเป็นการเที่ยวชายฝั่งด้านใต้และภูเขาไฟ Eyjafjallajokull อันเลื่องชื่อ กับธารน้ำแข็ง Myrdalsjokull Glacier จุดหมายแรกคือน้ำตก Selfoss มีต้นกำเนิดจากธารน้ำแข็ง Vatnajokull อยู่ที่ Selfoss ไม่นานก็เดินทางต่อตามถนนสาย 1 ซึ่งเลียบชายฝั่งด้านใต้ ประมาณชั่วโมงครึ่งก็ถึงศูนย์ข้อมูลของภูเขาไฟ Eyjafjallajokull
Eyjafjallajokull แปลว่าเกาะภูเขาธารน้ำแข็ง เป็นภูเขาไฟที่มีน้ำแข็งปกคลุมตรงยอด ด้านทิศใต้ของภูเขาเคยเป็นชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ในระยะหลายพันปีมานี้ ไอซ์แลนด์สูงขึ้น ทำให้น้ำร่นถอยออกไปถึง 5 กิโลเมตร ชายฝั่งจึงกลายเป็นหน้าผาสูงที่มีน้ำตกหลายแห่ง ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Skogafoss
ภูเขาไฟ Eyjafjallajokull เป็นภูเขาไฟที่ยังแอ็กทีฟอยู่ การระเบิดครั้งสุดท้ายที่ทำให้การบินที่ยุโรปเหนือและตะวันตกต้องเป็นอัมพาตถึง 6 วัน คือเมื่อ 14-20 เมษายน 2553 เถ้าถ่านจากการระเบิดปกคลุมท้องฟ้าของยุโรป กว่า 20 ประเทศประกาศปิดม่านฟ้าสำหรับสายการบินพาณิชย์ เป็นผลกระทบต่อการเดินทางทางอากาศมากที่สุดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มา
ภูเขาไฟนี้ไม่สูงมากนัก เป็นรูป Cone Shape ที่ได้สัดส่วน ตอนนี้หยุดการระเบิดแล้ว จึงมองไม่เห็นควันออกจากปล่อง จากนั้นก็เดินทางต่อ อีกไม่นานก็ถึงน้ำตก Skogafoss หนึ่งในน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์ น้ำตกจากหน้าผาสูงมากระทบพื้นเบื้องล่าง เป็นละอองพุ่งสูงหลายเมตร

