top of page
Misty Woodland

กัมพล  สุขุมาลินท์

บทความ

คินาบาลู  ขุนเขามหัศจรรย์แห่งบอร์เนียว

คุณกัมพล  สุขุมาลินท์...เรื่อง

คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...ภาพ

      ปัจจุบันชื่อของ “คินาบาลู” เริ่มรู้จักกันอย่างแพร่หลายมากขึ้นโดยเฉพาะนักแรมทางผจญภัยที่ชื่นชอบความท้าทายในการตะเกียกตะกายหินผาและพิสมัยในการไล่ล่า-พิชิตขุนเขายอดสูงๆ ของโลกเพราะคินาบาลูมียอดแหลมสุดที่ชื่อโลว์ (Low’s Peak) ประดับอยู่บนเขาหินแกรนิตขนาดยักษ์ลูกนี้ที่ความสูง 4,095.2 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ซึ่งเปรียบได้เป็นดั่งหลังคาของภูมิภาคเอเชียยตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างไม่เคอะเขิน

      แต่สำหรับคนรักธรรมชาติที่ชื่นชมและชื่นชอบพืชพรรณไม้  แมลง  เรื่อยไปจนถึงนกและสัตว์ป่าแล้ว คินาบาลูคือ “เบอร์หนึ่ง” ของดินแดนที่เป็นสุดมหัศจรรย์แห่งสายพันธุ์พิเศษ ที่เป็นเป้าหมายและความใฝ่ฝันของคนทั้งโลก ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในผู้คนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน

IMG_7480.jpg
IMG_9615.jpg
IMG_7475.jpg
IMG_0505.jpg

เลาะเลียบ (ริม) หลังคาคินาบาลู

      หลังจากเสียเวลาไปเกือบ  1 วันเต็มๆ จากการที่ต้องนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ  เพื่อลงไปยังกัวลาลัมเปอร์หรือเค.แอล. แล้วค่อยบินจากเค.แอล. ตัดข้ามทะเลจีนใต้ขึ้นเหนือเพื่อไปบอร์เนียวอีกที  เพราะว่ามาเลเซียมีแผ่นดินเป็น 2 ส่วนแยกออกจากกัน  โดยส่วนหนึ่งมีพื้นที่ติดกับภาคใต้ของบ้านเรานั้นมีอยู่ด้วยกัน 11 รัฐ ฝรั่งเขาชอบเรียกดินแดนด้านนี้ว่า Peninsula Malaysia หรือ West Malaysia ส่วนอีก 2 รัฐนั้นไปแหมะอยู่ทางตอนเหนือสุดบนเกาะบอร์เนียวของอินโดเนเซียโน่น คือ รัฐซาบาห์กับซาราวัก ซึ่งฝรั่งเขาเรียกฝั่งนี้ว่า East Malaysia และเจ้าคินาบาลูก็อยู่ในรัฐซาบาห์นี่แหละครับ

      คณะของพวกผมมาถึงโกตาคินาบาลูได้ก็เผ่นแน่บขึ้นเหนือทันทีเพื่อไปยังอุทยานแห่งชาติคินาบาลูที่เป็นผืนป่ามรดกโลกแห่งแรกของมาเลเซีย เป้าหมายของพวกเราก็คือการบุกขึ้นไปให้ถึงจุดพักที่ 2 ที่ระดับ 2,081.4 เมตรเพื่อชมน้ำตกคาร์สันและบรรดาพันธุ์ไม้แปลกตาที่พบเพียงแห่งเดียวในโลกเท่านั้น รถตู้พาพวกเราไต่ขึ้นเขาไปจนถึงจุดที่เรียกว่า Power Station ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของเส้นทางรถพร้อมๆกับการเป็นจุดเริ่มต้นปีนเขาขึ้นคินาบาลูที่ระดับ 1,830 เมตร

      แต่พวกผมโชคไม่ดีเพราะไปถึงเพียงแป๊ปเดียว  ฝนก็เริ่มเทลงมา  ส่วนเจ้าหน้าที่เองก็ไม่แนะนำให้พวกผมขึ้นไปด้วยเนื่องจากได้รับแจ้งทางวิทยุลงมาว่ามีฝนตกหนักตลอดเส้นทางปีนเขาอาจเกิดอันตรายได้  ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนแผนมาเดินป่าในเส้นทางศึกษาธรรมชาติเส้นหนึ่งที่เจ้าหน้าที่เขาแนะนำว่ามี ผีเสื้อ-นก-พรรณไม้ให้ดูเยอะแยะและก็เป็นโชคดีของพวกผมเพราะว่าตลอดเส้นทางตามป่าที่ลัดเลาะเลียบไปกับลำธารน้ำใสเย็นเจี๊ยบนั้นได้พบกับกล้วยไม้สวยๆ มากมายนับสิบชนิดตั้งแต่ดอกเล็กจิ๋วเท่าหัวเข็มหมุดจนไปถึงใหญ่เท่าฝ่ามือเด็กเล็ก  แถมยังได้เจอกับเจ้าหม้อข้าวหม้อแกงลิงใบสวยๆ ลายแปลกๆอีกตั้ง 5-6 ชนิด ทั้งดูทั้งถ่าย (รูป)กันแบบจุใจแบบสู้กันจนหมดแสงตะวันเลยแหละครับ  ขนาดผมเองที่ไม่ได้ชอบอะไรเจ้าเนเพนเธส (Nepenthes) หรือหม้อข้าวหม้อแกงลิงนี้มากนักหรอก เจอเข้างวดนี้เลย (หลง) ชอบเข้าเต็มๆ แบบมองหากันตลอดทั้งทริปก็แล้วกัน

ลุยโพริ่งดิ่งขึ้นเรือนยอดไม้

      เป้าหมายที่ 2 ของพวกผมในทริปนี้อยู่ที่โพริ่งครับ  โพริ่งเป็นพุน้ำร้อนที่ผุดขึ้นพลั่กๆ จากใต้พื้นพิภพ  ซึ่งค้นพบโดยทหารญี่ปุ่นเมื่อครั้งที่บุกขึ้นเกาะบอร์เนียวในช่วงมหาสงคราม (ล้าง) โลกครั้งที่ 2  ถือเป็นจุดสุดฮอตที่ไม่ไปไม่ได้เชียวครับ  ส่วนที่มาของคำว่า “โพริ่ง” (Poring) นั้นก็ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไรเลย  เพราะโพริ่งเป็นชื่อของไผ่ชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่เป็นกุรุสในแถบนี้  ความเห็นส่วนตัวของผมนั้นโพริ่งก็เหมือนๆ บ่อน้ำร้อนพรรั้งหรือจันทร์สมธาราของเมืองระนองบ้านเรานั่นแหละ  บ่อพ่อ-บ่อแม่นั้นน้ำร้อนจี๋เขาไม่ให้ลงเล่น (เดี๋ยวสุก!)  แต่ก็มีบ่อที่ร้อนปานกลางกับร้อนน้อยไว้สำหรับให้ผู้ใหญ่กับเด็ก (และผู้ใหญ่ที่ยังทำตัวเป็นเด็ก!)  ลงเล่นใน 2 บ่อนี้ได้

IMG_7429.jpg

      อ้อ! เกือบลืมบอกไปครับว่าระหว่างทางก่อนถึงโพริ่งเล็กน้อย  จะมีชาวบ้านยืนหรือนั่งอยู่ริมถนนทั้งโบกธงและกวักมือเรียกให้เข้าไปดูบัวผุด หรือ แร็ฟเฟิลเซีย (Rafflesia) ดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ (และเหม็น!) ที่สุดในโลกซึ่งอยู่ในที่ของชาวบ้านและเราต้องจ่ายคนละ 20 ริงกิตมาเลเซีย หรือราวๆ 200 บาทไทยเพื่อเข้าไปดูและถ่ายรูปได้ไม่ต้องเสียเพิ่มอีกแต่อย่างใด เดินง่าย เดินสบาย แถมไม่ไกลอีกต่างหาก เท่าที่ผมทราบเจ้าบัวผุดเนี่ยทั่วทั้งโลกมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 17 ชนิด และทั้งหมดก็มีเฉพาะอยู่ในป่าฝนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แถวๆ บ้านเราเท่านั้น เฉพาะที่เกาะบอร์เนียวอย่างเดียวก็เจอได้ถึง 7 ชนิดแล้ว

IMG_7843.jpg
IMG_7835.jpg

      ส่วนจุดเด่นที่เป็นพระเอกเรียกแขกของโพริ่งคือสะพานแขวนบนเรือนยอดไม้หรือ Canopy Walkway) ซึ่งสร้างเชื่อมต่อระหว่างเรือนยอดไม้กับเรือนยอดไม้ด้วยกันโดยยาวถึง 160 เมตร และสูงจากพื้นดินข้างล่างถึง 41 เมตรโน่น ใครที่เป็นโรคกลัวความสูง (อย่างผม) อย่าได้พยายามขึ้นไปเลยครับเพราะมันเสียววูบๆ ตลอดทาง มองลงไปข้างล่างใจมันหวิวๆ ยังไงชอบกล แต่ไม่ต้องกลัวครับเรื่องความปลอดภัยนั้นเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว

      ผมลงมาจากคาโนปีวอล์คได้(เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ยังไงยังงั้น) ก็รีบเดินไปยังจุดที่น่าเที่ยวอีก 2 แห่งคือสวนกล้วยไม้กับฟาร์มผีเสื้อ คราวนี้เลยต้องแยกกันตามความชอบแล้วละครับ  ฝ่ายพี่วัลลภกับพี่นรมนนั้นชอบพรรณไม้  ส่วนผมนั้นก็ชอบเหมือนกัน แต่ที่ชอบ “มากกว่า” คือผีเสื้อปีกสวยๆ ที่ลอยลมได้ที่เหลือจึงเดินตามเข้าดูผีเสื้อกับผมกันหมดคือพี่ไพศาล พี่หมอเรวัติและพี่หมอวนิดา  ด้านในสวนตกแต่งไว้เหมือนกับป่าธรรมชาติจริงๆ ทั้งพืชพรรณไม้และสายน้ำตก  มีผีเสื้อสายพันธุ์พิเศษแบบที่คุณไม่มีทางเจอในส่วนอื่นส่วนใดของโลกอยู่ประมาณ 20 ชนิดบินว่อนจนตาลายไม่รู้จะดูตัวไหนดี  คราวหน้าถ้าได้มาคินาบาลูอีกผมกะว่าจะนอนที่นี่สัก 2 คืนน่าจะดี

บุกเมอซิเลาขึ้นเขาล่าหม้อข้าวหม้อแกงยักษ์

      จากคนที่มีที่อยู่ที่นอนเป็นหลักเป็นแหล่งในเมืองไทย  ต้องกลายสภาพมาเป็นชนเผ่าเบดูอินที่เร่ร่อนเปลี่ยนที่พักที่กินกันทุกวันแบบไม่ซ้ำกันเลยสักคืน  ครั้งนี้เรานั่งรถข้ามเขาไปยังอีกฝากฝั่งหนึ่งของเส้นทางพิชิตยอดคินาบาลูด้านที่เรียกว่า เมอซิเลา (Mesilau) ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีระยะทางสั้นกว่าและใช้เวลาน้อยกว่าแต่ทว่าทั้งชันทั้งโหดเหลือหลาย เหมาะสำหรับหนุ่ม-สาวที่ยังมีไฟและร่างกายแข็งแรงฟิตเปรียะเต็มร้อยเท่านั้น

      พวกผมเดินทางมายังเมอซิเลาไม่ใช้ในฐานะของ “ผู้พิชิต” แต่มาในฐานะของ “ผู้ล่า” ที่มาตามหาเจ้าอสูรพฤกษาหรือเจ้าหม้อข้าวหม้อแกงลิง หรือ Pitcher-Plant ที่ผมชอบเรียกว่า Nepenthes นั้นแหละ   ซึ่งที่เมอซิเลานั้นมีอยู่มากมายหลายสายพันธุ์โดยเฉพาะชนิดที่ชื่อว่า Rajah Pitcher-Plant ซึ่งแปลเป็นไทยแบบตรงๆ ก็คือ หม้อข้าวหม้อแกงราชา ที่ว่ากันว่าใบใหญ่ยักษ์ที่สุดในจักรวาลนั่นเลย

      ทางขึ้นเขาเพื่อชมเจ้าพิชเชอร์-พลานท์นั้นค่อนข้างชันถึงชันมากทีเดียวสำหรับวัยคนอย่างผม ยังดีที่เขาทำเป็นบันไดไม้ไว้ให้ก้าวเดินขึ้นได้สะดวกกับราวให้จับและดึงตัวหนีแรงดึงดูดของโลกได้ง่าย  แต่ก็เล่นเอาใจหายหายคอแทบไม่ทัน  เพราะความสูงตรงจุดนั้นขี้หมูขี้หมาก็ต้องมี 2,000 เมตรขึ้นไปแน่ๆ อากาศจึงค่อนข้างเบาบาง  เหนื่อยง่าย  แต่ก็คุ้มค่าความลำบากลำบนที่ต้องทนทรมานสังขารกันขึ้นไปเพราะมุมสูงเห็นวิวทิวทัศน์สวยดี อากาศก็สุดสดชื่นหัวใจ มีลมพัดเย็นสบายตลอดเวลา

      หม้อข้าวใบแรกที่เจอก็คือ เจ้าเบอร์บิดจ์ (Burbidg’s Pitcher-Plant) ที่ใบเล็กสีชมพูสวยซะไม่มี ใกล้ๆกันก็เป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งชื่อ เจ้าสีเทา (Dusky Pitcher-Plant)  ซึ่งมีขนาดไล่เลี่ยกัน  ปากหม้อมีขนาดประมาณนิ้วมือผมเห็นจะได้  พอไต่บันไดขึ้นสูงไปเรื่อยๆ คราวนี้เรียงหน้ากันมาให้เห็นกันยุ่บยั่บทั้งเจ้าคินาบาลู (Kinabulu Pitcher-Plant), เจ้าเอ็ดเวิร์ด (Edward’s Pitcher-Plant  บางคนก็เรียกว่า Splendid Pitcher-Plant), เจ้าขอบขน (Fringed Pitcher-Plant) โดยมีเจ้าใบยักษ์หรือราชารออยู่ที่สุดท้ายปลายทาง เห็นแล้วก็หายสงสัยเลยดีกว่าทำไมถึงได้ชื่อว่า “ราชา”  เพราะบางหม้อใหญ่ขนาดใส่น้ำได้ 2 ลิตรก็แล้วกัน  พี่ไพศาลลองไปอุ้มดูเพื่อเทียบไซส์ให้เห็นกันแบบจะจะเต็มตาว่ามหึมาจริงๆ ทั้งหม้อข้าวหม้อแกงลิงและ“พุง” ของคนที่อุ้มมันอยู่!

IMG_0939.jpg

© 2018 by Truenaturephotos. All Rights Reserved

bottom of page