
บทความ
ในเขตเมืองจางเย่ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติบนเส้นทางบนระเบียงเหอซีแห่งใหม่ ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมคือ เขตภูมิทัศน์เนินริ้วหลากสีแห่งจางเย่ หรือ จางเย่ฉีเหลียนซานตานเสียตี้เม่า (Zhangye Qilian Shan Danxia Dimao) หรือ หวู่ไฉ่ซาน (Rainbow Mountain) จัดเป็นหนึ่งในทิวทัศน์มหัศจรรย์อันงามแปลกตาของจีนในเขตภูเขาฉีเหลียนซาน ครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างขวางถึง ๓๐๐ ตารางกิโลเมตรในเขตอำเภอหลินเจ๋อ (Linze) และสู่หนานทางตอนใต้ของเมืองจางเย่ ตั้งอยู่บนระดับความสูง ๒,๐๐๐-๓,๘๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเลอันแห้งแล้งปราศจากต้นไม้และพันธุ์พืชใด ๆ ขึ้นปกคลุม
ในทางธรณีวิทยาสันนิษฐานว่าพื้นที่บริเวณนี้มีอายุยาว นานมากว่า ๒ ล้านปี ผ่านการกัดกร่อนของธรรมชาติ สายลมแสงแดดและความแห้งแล้งของภูมิประเทศ เผยให้เห็นชั้นของแร่ธาตุที่สะสมอยู่ใต้ดิน มากที่สุดเห็นจะเป็นแร่ออกไซด์ ทำให้เกิดเนินริ้วเลื่อมลายหลากสีสันราวฝีแปรงแห่งธรรมชาติที่วาดพาดผ่านทั้งเนินภูหุบโตรก ส่วนมากจะเป็นสีแดง ส้ม เหลือง น้ำตาล ไปจนถึงเทา ดูงามแปลกตาแลชวนน่าพิศวงยิ่งนัก
จากจางเย่ มุ่งหน้าสู่ตะวันตกเฉียงเหนือ สู่เมืองเจียอวิ้กวน (หมายถึง ด่านหุบเขาอันสวยงาม)ได้รับฉายาอันน่าครั่นคร้ามมาแต่อดีตกาลว่า “เทียนเซี่ยโฉวฺงกวน” หรือ “ด่านน่า

เกรงขามอันดับหนึ่งในใต้หล้า” ตั้งอยู่กลางระหว่างภูเขาฉีเหลียนซานและภูเขาหม่าจงซาน เป็นช่วงตอนที่แคบที่สุดของเส้นทางระเบียงเหอซี เริ่มสร้างขึ้นในปีค.ศ.๑๓๗๒ รัชกาลจักรพรรดิหมิงไท่จู่ แล้วเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ.๑๕๔๐
ตัวด่านมีกำแพงล้อมรอบสองชั้น ชั้นนอกยาว ๗๓๓ เมตร สูง ๑๐.๗ เมตร ชั้นในยาว ๖๔๐ เมตรครอบคลุมพื้นที่ ๒๒,๕๐๐ ตร.ม. ทางทิศตะวันออกมีประตูทางเข้าด่านเรียกว่า กวงฮว่าเหมิน สูง ๑๗ เมตร ประตูด่านทางทิศตะวันตกเรียกว่า โหยวหย่วนเหมิน ในสมัยราชวงศ์หมิงเมื่อเดินออกนอกประตูนี้ไป หมายถึงพ้นเขตแดนประเทศจีนแล้ว ซึ่งผู้เดินทางออกนอกด่าน อาจจะไม่มีโอกาสได้หวนกลับคืนสู่มาตุภูมิอีก
เหนือประตูมีอาคารสูง ๓ ชั้น เพื่อเป็นหอสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวนอกกำแพงเมือง แลเมื่อมองจากนอกประตูด่านเข้ามา จะเห็นว่าเป็นทางตัน เพราะมีกำแพงล้อมรอบทั้งสี่ด้านไม่มีทางออก เรียกว่า เวิ่งเฉิง หรือ กับดัก กล่าวคือ ในยามศึกใช้ลวงข้าศึกเข้ามาภายใน จากนั้นจะปิดประตูเมืองแล้วทิ้งศัสตราวุธลงไป ดังมีคำเปรียบเปรยว่า “ปิดประตูตีสุนัข” หรือ “จับตะพาบในอ่าง” ครั้นในยามสงบ ภายในเวิ่งเฉิงก็ใช้เป็นที่พักของกองคาราวานพ่อค้าวาณิชบนเส้นทางสายแพรไหม ให้เข้ามาพักภายในด่านเพื่อความปลอดภัย
เมืองสุดท้ายบนระเบียงเหอซีที่ผมมาถึงคือ เมืองตุนหวง ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเจียอวิ้กวนมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๓๘๐ กิโลเมตร สองทางข้างอันยาวไกลนี้ล้วนเป็นผืนทะเลกรวด หรือ เกอปี้ทาน บางตอนที่มีแหล่งน้ำก็จะเป็นผืนดินโอเอซิส พืชที่นิยมปลูกกันในบริเวณนี้คือ แตงฮามี่กวอที่มีรสชาติหอมหวานจัด ให้ผลผลิตในช่วงฤดูร้อน ระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมของแต่ละปี
ตุนหวง เป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญโบราณบนเส้นทางสายแพรไหม ที่นักเดินทางจากทั้งจากบุรพทิศและประจิมทิศต่างจะมาหยุดแวะพัก เพื่อจัดเตรียมเสบียงทั้งกองคาราวานคนและสัตว์

พาหนะให้พร้อม ก่อนเดินทางรอนแรมผ่านทะเลทรายและเลียบขุนเขาอันยาวไกล และเช่นกัน ที่เหล่าแม่ทัพนายกองผู้ถูกส่งไปประจำการ ณ ด่านชายแดนตะวันตกของตุนหวงคือ ด่านหยางกวนและอวิ้เหมินกวน จะมาหยุดพำนักชั่วระยะเวลาหนึ่งที่เมืองนี้
เหตุผลที่ทำให้ตุนหวงเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดีไปทั่วโลกและเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญสุดบนเส้นทางสายแพรไหมและระเบียงเหอซี เพราะตุนหวงมีศูนย์กลางความสำคัญอยู่ที่ หมู่ถ้ำพระสหัสพุทธ-โม่เกาสือคู Mogao Grottoes ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมงกุฎแห่งพุทธศิลป์บนเส้นทางสายแพรไหม และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การยูเนสโกชุดแรกของจีนเมื่อปีค.ศ.๑๙๘๗ รวมทั้ง บรรดาสรรพวิชาความรู้ในศาสตร์แขนงวิชาต่าง ๆ ที่เก็บสะสมอยู่ในหมู่พุทธคูหาเหล่านี้ ได้รับการจัดอันดับให้เป็น ๑ ใน ๓ วิชาวัฒนธรรมท้องถิ่นศึกษาของแผ่นดินจีนอันไพศาล คือ วิชาตุนหวงศึกษา (อีกสองแห่งคือ ทิเบตศึกษา และฮุยโจวศึกษา)
หมู่ถ้ำโม่เกาตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองตุนหวงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ ๒๕ กิโลเมตร มีความเจริญมายาวนานกว่า ๑,๐๐๐ ปี คือ นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๔-๑๔ (สมัยราชวงศ์เว่ยเหนือจนถึงราชวงศ์หยวน) เป็นถ้ำที่เกิดจากฝีมือของมนุษย์ที่เจาะผนังหินทรายบนหน้าผาด้านตะวันออกของภูเขาหมิงซาซานยาวกว่า ๑๒ กิโลเมตร มีถ้ำรวมกว่า ๔๙๒ แห่ง ภายในมีรูปปั้นนับรวมได้ถึง ๒,๔๑๕ องค์ และมีภาพจิตรกรรมทั้งลยผนังและเพดานถ้ำอันวิจิตรพิสดารรวมกว่า ๔๕,๐๐๐ ตารางเมตร ถ้านำภาพเหล่านั้นมาวางเรียงแนวยาวจะได้ไกลถึง ๔๕ กิโลเมตร จึงนับเป็นหอศิลป์ที่ยาวสุดทั้งโลกโบราณและโลกปัจจุบัน
จวบจนถึงปัจจุบัน หมู่ถ้ำโม่เกาคงเหลือพุทธคูหาอยู่ ๔๙๒
ถ้ำ โดยสามารถแบ่งงานศิลปกรรมภายในถ้ำออกได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ ตามลักษณะงานศิลปกรรม คือ จิตรการฝาผนังและเพดานถ้ำ รูปปั้น ภาพวาดบนผืนผ้าไหม ภาพสลักบนพื้นอิฐ เป็นต้น และ ตามยุคสมัยในการสร้าง ซึ่งสามารถแบ่งเป็น ๔ ยุค คือยุคสมัยแรก (ค.ศ.๓๘๖-๕๘๑) ราชวงศ์เว่ยเหนือถึงราชวงศ์เหนือใต้) ยุคสมัยกลาง (ค.ศ.๕๘๑-๖๑๘) ราชวงศ์สุย ยุคสมัยราชวงศ์ถังช่วงรุ่งเรือง (ค.ศ.๖๑๘-๗๕๖) ยุคเสื่อมสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ.๗๕๗-๙๐๖) และยุคสมัยหลังราชวงศ์ถัง (ค.ศ.๙๐๗ เป็นต้นมา)


สายวันรุ่งขึ้น พวกเราเดินทางออกจากเมืองตุนหวง มุ่งหน้าไปทิศตะวันตกเฉียงใต้ตามเส้นทางระเบียงเหอซีในช่วงตอนสุดท้าย สองข้างทางล้วนเป็นทะเลกรวดมองไปได้กว้างไกลสุดสายตา แลแล้งโล้นไร้ต้นไม้และหญ้าสีเขียวใด ๆ
๙๘ กิโลเมตรจากตุนหวง พวกเราก็มาถึง ด่านอวิ้เหมินกวน หรือ ด่านประตูหยก ชายขอบขัณฑสีมาของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (ซึ่งมีอาณาเขตกว้างไกลกว่าสมัยราชวงศ์หมิงเกือบ ๕๐๐ กิโลเมตร ที่มีเขตแดนด้านตะวันตกจรดเพียงด่านเจียอวิ้กวนเท่านั้น) ที่ทุกวันนี้คงเหลือแต่ป้อมดินสีแดงกลวงขนาดใหญ่อยู่กลางผืนทะเลทรายอันแสนเวิ้งว้าง ตัวป้อมมีขนาดความสูง ๑๐ เมตร ด้านตะวันออกถึงตะวันตกยาว ๒๔ เมตร ด้านเหนือลงใต้ยาว ๒๖ เมตร ตอนกลางมีช่องประตูทางเข้า สร้างมาตั้งแต่ปี ๑๑๑ ก่อนคริสตกาล
หวางจือฮว่าน Wang Zhihuan (ค.ศ.๖๘๘-๗๔๒) กวีในสมัยราชวงศ์ถัง ได้เคยพรรณนาถึงด่านนี้ในกวีบท “เหลียงโจวฉือ” หรือ โคลงแห่งเมืองเหลียงโจว จนจับใจชาวจีนนับจากสมัยถังมาจวบจนปัจจุบันว่า…
“หวงเหอไหลไกลจรดเมฆขาว
ด่านโบราณล้อมรายรอบด้วยเขาสูง
ชนเผ่าเซียงเป่าเพลงขลุ่ยอันอาดูร
ลมใบไม้ผลิมิพัดถึงอวิ้เหมินกวน”
หวางจือฮว่านรำพึงรำพันถึง ทหารที่มาเฝ้าอยู่ ณ ด่านนี้ คืนวันเห็นแต่ทะเลกรวดทราย ทำให้คิดถึง แม่น้ำเหลืองที่ไหลไกลไปทางตะวันออก ด่านโบราณที่พวกตนมาประจำการนั้น ช่างโดดเดี่ยวอยู่ในวงล้อมของเขาสูงคือ ภูเขาหิมะอาเอ่อร์จินซาน
เพลง “เด็ดหยางหลิว” เป็นบทเพลงที่มีชื่อของชาวจงหยวน (จีนภาคกลาง) แต่ชนเผ่าเซียง (ชนกลุ่มน้อยในระเบียงเหอซี) สหายเจ้าจะเป่าเพลงขลุ่ยนี้ไปไยกัน? เพราะกระแสลมแห่งฤดูกาลใบไม้ผลิอันเปรียบเสมือนความอบอุ่นและความชุ่มชื้นหลังฤดูหนาวอันยาวนาน ที่ทำให้ต้นหยางต้นหลิวต่างผลิใบหรือความหมายอีกนัยหนึ่ง หมายถึงความเจริญนั่นเอง มิเคยพัดมาไกลจนถึงด่านอวิ้เหมินกวน อันไกลโพ้นสุดเขตแดนตะวันตกนี้เลย...
ผมยืนนิ่งสงบคารวะเหล่าทหารหาญผู้กล้านับจำนวนมิถ้วน ที่ต่างเคยมาประจำแว่นแคว้นชายแดนอันแสนไกลแห่งนี้ พวกเขาต้องพลัดพรากจากบ้านเมืองมาโดยมิรู้ว่าจะได้กลับไปคืนสู่อ้อมกอดของบุพการีหรือครอบครัวอันอบอุ่นแสนรักอีกหรือไม่ ที่นี่มีแต่สายลมหนาว แดดกล้า และพายุฝุ่นทราย ที่ทั้งร้อนแล้งและหนาวเหน็บจนเจ็บกระดูก ไม่มีโรงงิ้ว ไม่มีศาลเจ้า ไม่มีปราการป้อมค่ายอันใหญ่โตที่จะปกป้องและสร้างความสำราญให้พวกเขาดั่งเช่นที่ด่านเจียอวิ้กวนเลยแม้แต่น้อย
...อวิ้เหมินกวนนั้นช่างไกลนัก....ไกลจนผมมิเคยจะนึกถึงว่า... วันนี้จะได้มีโอกาสมาตามรอยเหล่าบรรพชนมาจนถึงสุดเส้นทางสายประวัติศาสตร์
สองพันปี-ระเบียงเหอซี และปลายสุดของกำแพงหมื่นลี้ จนถึง ณ สถานที่แห่งนี้...

