top of page
Misty Woodland

ปริวัฒน์ จันทร

บทความ

Silk Road : ระเบียงเหอซี

คุณปริวัฒน์ จันทร...เรื่อง

คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...ภาพ

ผู้ใดยึดระเบียงเหอซีได้  ผู้นั้นครองดินแดนตะวันตกได้

      คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของระเบียงเหอซี หรือ เหอซีโจวล่าง Hexi Zoulang (Hexi Corridor) อันเป็นช่วงตอนสำคัญที่สุดของเส้นทางสายแพรไหม (ซือโฉวจือลู่ Silk Road) ในประเทศจีน มีอายุมายาวนานกว่า ๒,๐๐๐ ปี ถูกสถาปนาขึ้นพร้อมกับเส้นทางสายนี้ ตั้งแต่สมัยยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ที่ยังคงเก็บรักษาเรื่องราวของอริยบุคคล สงคราม ตำนาน รวมไปถึงความยิ่งใหญ่ของศาสนสถาน หมู่ถ้ำพระสหัสพุทธ ความงามตระการอันน่ามหัศจรรย์ของธรรมชาติ ทั้งขุนเขาหิมะ ผืนทะเลทรายสุดเวิ้งว้าง ทุ่งราบอันกว้างใหญ่ เนินภูหลากสีที่น่าทึ่ง ปราการด่านป้อมของกำแพงเมืองจีนหมื่นลี้ ที่เคยมีเหล่านักเดินทางทั้งจากบุรพทิศและประจิมทิศ ต่างรอนแรมเดินทางข้ามเดือนปี เพื่อแสวงหาในสิ่งที่ตนขาด กระจายในสิ่งที่ตนมี ไปยังอีกฟากฝั่งโลก

      หลายปีมานี้ ผมมีโอกาสเดินทางมาตามเส้นทางสายแพรไหมหลายครั้ง หากแต่ยังมาไม่ถึงระเบียงเหอซี กระทั่ง เมื่อฤดูใบไม้ร่วงของปีที่ผ่านมา ผมจึงมีโอกาสมาสานฝันในการย่ำรอยทรายไปบนสายแพรไหมในช่วงตอนสำคัญที่สุด แต่มีนักเดินทางทั่วไปมาถึงน้อยที่สุด นั่นคือ จากนครหลานโจว มุ่งหน้าไปตามเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๒ ในช่วงตอนระเบียงเหอซี เริ่มจากเมืองหวู่เวย Wuwei จางเย่ Zhangye จิ่วฉวน  Jiuquan เจียอวิ้กวน Jiayuguan  ตุนหวง และสิ้นสุดเส้นทางที่ด่านอวิ้เหมินกวน Yumen Guan ด่านสุดท้ายของหมื่นลี้แห่งกำแพงมังกรในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก...ตลอดเส้นทางมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมมากมาย ที่จะเชื่อมร้อยเข้ากับเรื่องราวของเส้นทางสายแพรไหมได้เป็นอย่างดี 

hexi-china-18.jpg
hexi-china-22.jpg

      ระเบียงเหอซี หรือ ดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำหวงเหอบางครั้งก็เรียกว่า ฉนวนเหอซี อันเปรียบประดุจระเบียงหรือคอหอยของเส้นทางสายแพรไหม ด้วยลักษณะพิเศษของสภาพภูมิประเทศ ด้านตะวันออกเริ่มต้นจากภูเขาอูเซียวหลิ่ง ซึ่งตั้งอยู่บนเส้นทางระหว่างนครหลานโจวไปเมืองหวู่เวย ไปจดตะวันตกที่ด่านอวิ้เหมินกวน มีความยาวทั้งสิ้นประมาณ ๑,๐๐๐ กิโลเมตร ด้านทิศเหนือมีเทือกเขาหม่าจงซาน หลงโส่วซาน และทะเลทรายโกบีขวางกั้น ส่วนทิศใต้มีปราการของเทือกเขาหิมะฉีเหลียนซานและอาเอ่อร์จินซาน มีความสูงเฉลี่ย ๓,๕๐๐-๔,๕๐๐ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทอดตัวตามแนวยาวเกือบ ๑,๐๐๐ กิโลเมตร กั้นระหว่างมณฑลกานซูทางตอนเหนือกับมณฑลชิงไห่ทางตอนใต้ 

      ตลอดเส้นทางอันยาวเหยียดนี้ มีความกว้างเฉลี่ย๘๐-๑๐๐  กิโลเมตร โดยมีส่วนที่กว้างที่สุด ๕๓๐ กิโลเมตรคือ บริเวณระหว่างเทือกเขาฉีเหลียนซานกับเป่ยซาน และส่วนที่แคบที่สุดเพียง ๒๕ กิโลเมตร บริเวณด่านเจียอวิ้กวน ระหว่างเทือกเขาฉีเหลียนซานกับหม่าจงซาน พื้นที่โดยส่วนใหญ่มีความสูงเฉลี่ย ๑,๓๐๐ ถึง ๑,๕๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง จึงทำให้เป็นเส้นทางที่มีลักษณะแคบและยาวด้วยปราการของธรรมชาติ  ทำให้เปรียบเสมือนระเบียงหรือคอหอย ที่เหล่านักเดินทางบนเส้นทางสายแพรไหมแต่โบราณจะต้องฝากรอยเท้าผ่าน จากแผ่นดินภาคกลางของจีนไปยังภูมิภาคตะวันตกไกล

      เมืองแรกที่พวกเรามาถึงคือ เมืองหวู่เวย ชื่อเสียงของเมืองนี้โด่งดังขึ้นมาเนื่องจากได้มีการขุดค้นพบ รูปหล่อทองเหลืองอาชาผยอง หรือ ถงเปินหม่า ที่เรียกขานกันว่า “หม่าท่าเฟยเอี้ยน” หรือ “ม้าเหยียบนกนางแอ่นเหินลม” ต้นแบบอาชาสวรรค์แดนตะวันตก หรือ “ซีเทียนหม่า” สุดยอดปรารถนาแห่งจักรพรรดิฮั่นตะวันตกที่หมายจะได้มาครอบครอง เพื่อพิชิตแว่นแคว้นแดนประจิม

      ในเดือนตุลาคม ปีค.ศ.๑๙๖๙ ได้มีการขุดค้นพบหลุมฝังศพแม่ทัพสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (อายุราวปีค.ศ.๑๘๖-๒๑๙) ที่เมืองหวู่เวยเข้าโดยบังเอิญ ภายในสุสานได้ขุดค้นพบโบราณวัตถุล้ำค่าสมัยราชวงศ์ฮั่นรวมกว่า ๒๓๐ ชิ้น โบราณวัตถุชิ้นสำคัญสุดที่ขุดค้นพบคือ รูปหล่อทองเหลือง “หม่าท่าเฟยเอี้ยน” มีรูปลักษณ์งามสง่าในท่วงท่ากำลังกระโจนทะยานมุ่งไปเบื้องหน้าอย่างทระนงองอาจ เท้าทั้งสามกำลังเหาะเหินกลางนภา เท้าที่สี่เหยียบอยู่เหนือตัวนกนางแอ่นที่กำลังถลาลม มีรูจมูกเปิดกว้างและปากกำลังพ่นควันระบายออกมา ร่ำลือกันว่าเหงื่อของม้าสวรรค์นี้มีสีแดงประดุจชาด ในยามที่ส่งเสียงร้องอย่างคึกคะนองนั้น สามารถสยบม้าของศัตรูให้มอบราบคาบได้โดยง่ายดาย

      ภายหลังการขุดค้นพบหลุมสมบัติล้ำค่านี้แล้ว “อาชาสวรรค์เหยียบนกนางแอ่น” ตัวนี้ ได้ถูกนำเหาะเหินขึ้นท้องฟ้าไปจัดแสดงในหลายทวีปทั่วโลก และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งม้าสวรรค์ตะวันตก และ การท่องเที่ยวของประเทศจีนไปในที่สุด

      จากเมืองหวู่เวย พวกเรามุ่งหน้าต่อไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ ๒๗๕ กิโลเมตร ตามเส้นทางสายระเบียงเหอซี มาได้ราวหนึ่งชั่วโมง ก็เห็นแนวกองดินเป็นหย่อม ๆ ดูคล้ายป้อมกำแพงปรักพังไปตามกาลเวลาอันยาวนาน ตัดสลับกับหมู่กังหันลมแหล่งพลังงานสะอาดจากธรรมชาติยุคปัจจุบัน โดยประเทศจีนนับเป็นชาติผู้นำในการผลิตพลังงานลมในเอเชีย มัคคุเทศก์บอกว่า ถนนสายที่พวกเรากำลังวิ่งอยู่นี้เลียบไปตามแนวเทือกเขาหลงโส่วซาน (หัวมังกร) ทางเหนือและฉีเหลียนซานทางใต้ และขนานไปกับกำแพงเมืองจีนสมัยราชวงศ์ฉิน อายุกว่า ๒,๐๐๐ ปี สมัยจักรพรรดิจิ๋นซีได้สร้างกำแพงเมืองจีนมาไกลถึงภาคตะวันตกจนถึงภูเขาซานตานเพื่อป้องกันพวกโชวฺงหนู-ศัตรูคู่อริ สภาพกำแพงโดยส่วน

222A3623.jpg

ใหญ่จะพังทลายไปตามกาลเวลา และจำนวนไม่น้อยได้กลายเป็นที่นาแปลงเกษตรและบ้านเรือนราษฎร ส่วนซากกำแพงที่คงเหลืออยู่จะเห็นได้จากบริเวณนี้

      อีกราวหนึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเราก็มาถึงเมืองจางเย่ คำว่า “จางเย่” มีความหมายว่า “การขยายดินแดนออกไปไกล” ประหนึ่งยกมือผาย

ออกกว้าง เป็นชื่อที่ถูกตั้งขึ้นมาพร้อมกับเมือง “หวู่เวย” ซึ่งหมายถึง “พลานุภาพอันน่าเกรงขามของจักรพรรดิฮั่นหวู่ตี้” เมืองจางเย่มีขนาดใหญ่และมีความเจริญมากกว่าเมืองหวู่เวย หนึ่งในศูนย์กลางของเมืองจางเย่ตั้งอยู่บนสองฝั่งถนนย่าโอ่วลู่ หรือ ถนนสายเอเชียยุโรป (หรือเส้นทางสายแพรไหม นั่นเอง) ตอนกลางมีอนุสาวรีย์มาร์โค โปโล-นักเดินทางชาว   เวนิสผู้เคยผ่านเมืองนี้ไปยังราชอาณาจักรมองโกล ตั้งตระหง่านอยู่

      เมืองจางเย่มีร่องรอยความเรืองรองของพุทธศาสนาที่เคยจำเริญอยู่ ณ เมืองแห่งนี้ ทั้งที่ตั้งอยู่ในเขตตัวเมืองและในเขตห่างไกลแถบภูเขาฉีเหลียนซานทางทิศใต้ ที่ยังคงบอกเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจให้พวกเราได้ไปเยือนกัน

      พุทธสถานแห่งแรกคือ วัดต้าฝอซื่อ Dafo Si หรือ วัดพระใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตตัวเมืองจางเย่ สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อปีค.ศ.๑๐๙๘ สมัยราชวงศ์ซีเซี่ยปกครองดินแดนทางภาคเหนือของจีน กษัตริย์ในราชวงศ์นี้ศรัทธาในศาสนาพุทธอย่างแรงกล้า ดังจะเห็นได้จากมรดกทางวัฒนธรรมในวัดแห่งนี้ยังคงอนุรักษ์ไว้ได้ดี ปัจจุบันนับเป็นวัดเดียวของราชวงศ์ซีเซี่ยที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในสภาพสมบูรณ์ พระนอนยาวในวิหารที่สร้างขึ้นพร้อมวัด เป็นพระนอนที่สร้างขึ้นด้วยไม้ ภายนอกเป็นดินทาสีฝีมือประณีตงดงาม มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศจีนและเอเชีย มีความยาว ๓๔.๕ เมตร พระอังสากว้าง ๗.๕ เมตร ประดิษฐานในวิหารไม้ขนาดใหญ่โต กว้าง ๑๑ ห้อง ลึก ๙ ห้อง สูง ๒๐.๒ เมตร พระนอนองค์นี้นอนอยู่ในวิหารไม้แกะสลักทั้งหลังนี้มายาวนานเกือบพันปี

      จากวัดต้าฝอซื่อ พวกเราเดินทางออกไปทางตอนใต้ของเมือง จางเย่ ระยะทางประมาณ ๘๐ กิโลเมตร ถึงอำเภอสู่หนาน (Sunan) บริเวณผาหินทรายแดงของภูเขาตันหลิ่งซาน ตอนหนึ่งของเทือกเขาฉีเหลียนซาน  จุดหมายปลายทางของพวกเราในบ่ายวันนี้คือ พุทธสถานที่ตั้งอยู่ในเขตของชาวหวีกู้จู๋มีชื่อเรียกว่า หมู่ถ้ำพระสหัสพุทธหม่าถีซื่อ (Mati Si Grottoes) หรือ หมู่ถ้ำเกือกม้า มีประวัติเล่าสืบกันมาว่า ในอดีตชาวบ้านได้พบรอยเกือกม้าขนาดใหญ่ นับถือว่าเป็นอาชาแห่งสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ กอปรกับบริเวณหน้าผาตันหลิ่งซานนี้มีชัยภูมิที่เอื้ออำนวย ต่อมา จึงเริ่มมีการแกะสลักพุทธคูหาขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก เพื่อใช้เป็นสถาน

hexi-china-11.jpg

ที่ปฏิบัติธรรมจำพรรษาของพระสงฆ์ และเป็นที่พักแรมของผู้สัญจรแรมทาง ครั้นในรัชกาลจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง หมู่ถ้ำแห่งนี้มีความจำเริญรุ่งเรืองขึ้น มีบันทึกว่าเคยพระภิกษุจำพรรษาอยู่ไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ รูป และในสมัยนี้ศาสนาพุทธนิกายวัชรญาณทิเบตได้เริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่องานศิลปะ ต่อเนื่องมาจนถึงราชวงศ์ชิงจวบปัจจุบัน

© 2018 by Truenaturephotos. All Rights Reserved

bottom of page