top of page
Misty Woodland

ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์

บทความ

หนึ่งจุดหมาย ณ ปลายฟ้า กาลาปากอส

คุณธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์...เรื่อง

คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...ภาพ

      หัวใจผมเต้นแรงยามมองผ่านหน้าต่างของเครื่องบินที่กำลังตีวงก่อนลงจอด นอกหน้าต่างคือกาลาปากอส เกาะภูเขาไฟกว้างใหญ่กลางเวิ้งสมุทร นี่คือ The Land Lost in Time หมู่เกาะที่ความเจริญมิอาจกล้ำกราย เป็นเสมือนสถานที่สุดท้ายของโลกในอดีต

      กาลาปากอสถูกค้นพบโดยบังเอิญใน พ.ศ. 1535 โดย Tomas de Berlanga นักบวชผู้แล่นเรือจากปานามาไปเปรู พายุทำให้เรือของเขาออกนอกเส้นทาง จนมาถึงหมู่เกาะภูเขาไฟ เต็มไปด้วยสัตว์แปลกมากมาย เขาตัดสินใจเรียกเกาะแห่งนี้ว่า Galapagos อันมีความหมาย “อานม้า” เพราะพบเต่ายักษ์ที่มีหลังอานเหมือนอานม้าบนเกาะนี้ (เต่ายักษ์มีหลายสายพันธุ์ แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ หลังอานและหลังตุง)

      มีความพยายามของมนุษย์ เพื่อตั้งถิ่นฐานหลักแหล่งหลายครั้งครา แต่ไม่มีครั้งใดทำได้สำเร็จ ทั้งความแห้งแล้ง ขาดแหล่งน้ำและพื้นที่กสิกรรม ทั้งระยะทางห่างไกลเกินไป คืออุปสรรคกีดกัน “มนุษย์” จาก “สวรรค์”

      สรรพสัตว์ที่มาโดยวิถีธรรมชาติจึงมีโอกาสวิวัฒนาการโดยอิสระ ปราศจากการรบกวนในทุกรูปแบบ จากรุ่นลูกถึงหลาน เหลนถึงโหลน พันหมื่นชั่วโคตร  1 ชนิดกลายเป็น 9 สายพันธุ์ และนั่นคือที่มาของ “จุดกำเนิดแห่งหลายชีวิต” คือคำตอบที่มนุษย์เฝ้าตามค้นหามานาน ทำไมจึงมีนกร้อยชนิด มิใช่มีเพียงหนึ่ง

IMG_2159-1.jpg
IMG_1293-1.jpg

      รัฐบาลเอกวาดอร์ประกาศผนวกหมู่เกาะกาลาปากอสเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ ใน พ.ศ. 1832 โดยรวมพื้นที่แผ่นดินทั้งหมด 7,882 ตารางกิโลเมตร แยกเป็นเกาะใหญ่ 13 แห่ง ใหญ่สุดคือเกาะอิซาเบลา (Isla Isabela) พื้นที่ถึง 4,588 ตารางกิโลเมตร บนบางเกาะยังเป็นภูเขาสูงที่เกิดภูเขาไฟ ยอดเขาสูงสุดเสียดฟ้าเกินกว่า 1,700 เมตร ห่างออกไปเพียงไม่กี่สิบกิโลเมตร คือความลึกมากกว่า 3,000 เมตรของมหาสมุทรแปซิฟิก

      เอกวาดอร์เริ่มอพยพผู้คนมาตั้งหลักแหล่ง ก่อนพบว่าไร้ความหมาย พืชพันธุ์ที่ปลูกได้ที่นี่ไม่มีทางขายได้ราคาเมื่อบวกค่าขนส่งและการต่อสู้กับความแห้งแล้ง ใน พ.ศ. 2502 เอกวาดอร์จึงตัดสินใจครั้งสำคัญ ประกาศพื้นที่นี้ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ มอบให้เป็นแหล่งมรดกโลก

      การท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา แต่นักวิทยาศาสตร์จากทุกมุมโลกที่มาก่อนหน้าช่วยแนะนำการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน วางแผนโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมเป็นเอก ที่นี่จึงมีรีสอร์ตเพียงไม่กี่แห่ง กระจุกตัวอยู่ใกล้เมือง Puerto Ayota เมืองหลักแห่งหมู่เกาะ นักเที่ยวส่วนใหญ่ไปกับเรือ กินนอนบนนั้น จำนวนเรือถูกจำกัดไว้เพียง 72 ลำ พื้นที่นับพันตารางกิโลเมตรมีเพียง 54 จุดเล็กๆที่มนุษย์ขึ้นไปเที่ยวได้

      จากสนามบินบนเกาะบัลตรา (Isla Baltra) ใช้เวลานั่งเรือไม่ถึง 1 ชั่วโมง ผมก็มาเหยียบหาดทรายบนเกาะกาลาปากอสเป็นครั้งแรก

      หาดทรายขาวนุ่มอยู่ใต้เท้า เหนือศีรษะมีนกๆๆ และนกบินโฉบฉิวเฉี่ยวผ่าน แต่ละตัวเป็นราชาปักษา แต่บนหาดนี้ราชาทำตัวเหมือนนกกระจอก พุ่งผ่านกันฟิ้วๆ ชนิดง้างรอเล็งให้ดี สามารถเตะก้านคอนกกระทุง Brown Pelican หรือเขกหัวนกโจรสลัด Frigate

      น่าแปลกใจที่เหล่าช่างภาพระดับป๋าและเจ้าแม่แห่งวงการกลับไม่สนใจนกเหล่านั้น แต่ละคนไปมุงกันถ่ายภาพ Sally Lightfoot Crab ปูน้อยธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ปูนี้มีเกลื่อนริมเกาะกาลาปากอส แต่เจ้าปูแซลลีลิงโลด (ชื่อ Lightfoot มีที่มาจากการกระโดดไปมาอย่างว่องไวของปูวัยรุ่น) ยากหาเจอในทะเลถิ่นอื่น และไม่มีแน่นอนในทะเลไทย

IMG_1021.jpg
IMG_1225-1.jpg

      สัตว์ตัวสีดำเข้มคืบคลานอย่างเชื่องช้าบนหาดทราย สาวน้อยรายหนึ่งเหลือบไปเห็น เธออุทานออกมา ก่อนชี้ให้เราดู “กิ้งก่าตัวหนึ่ง” เจ้าตัวที่ทำให้สาวน้อยร้องกรี๊ดมีขนาดใกล้เคียงตะกองบ้านเรา รูปร่างหน้าตาคล้ายอิกัวนา อันที่จริงเขาคืออิกัวนาสายพันธุ์หนึ่ง สีสันมืดคล้ำแสนธรรมดา ผิดเพียงว่า ในหลายร้อยสายพันธุ์ของกิ้งก่า จิ้งเหลน และอิกัวนาทั่วโลก มีเพียงหนึ่งเดียวที่ลงทะเลได้ และหนึ่งนั้นคือหนึ่งนี้

      Marine Igauna เป็นกิ้งก่าที่ว่ายน้ำทะเลปราดเปรียว ดำน้ำลงไปกินสาหร่ายใต้ทะเลในความลึก 15-20 เมตร พบได้เฉพาะที่กาลาปากอส เกิดจากวิวัฒนาการอันเนิ่นนาน ทำให้อิกัวนาเพียงชนิดเดียวแยกกลายเป็น 2 ชนิด หนึ่งหากินบนบก อีกหนึ่งมุ่งหน้าลงทะเล

      เหตุที่มารีนอิกัวนารอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ เพราะพวกมันกินสาหร่ายเป็นอาหาร จึงไม่เกิดเหตุการณ์แย่งไข่กินกันเอง อีกหนึ่งคือบนเกาะมีศัตรูน้อยมาก กิ้งก่าที่มีอยู่หลายพันหลายหมื่นออกไข่หลายแสนใบ ย่อมมีจำนวนมากที่รอดมาได้ ก่อเกิดเป็นกิ้งก่าตัวจ้อย หลบอาศัยตามชายป่า หาจังหวะลงมากินสาหร่ายยามน้ำลงเป็นระยะ จนกว่าจะเติบใหญ่เป็นกิ้งก่ารุ่นใหม่พร้อมผสมพันธุ์ในเวลา 7-10 ปี หากไม่ถูกเหยี่ยวกาลาปากอส ศัตรูตัวฉกาจในธรรมชาติโฉบกินไปเสียก่อน มารีนอิกัวนามีอายุยืนยาวถึง 70 ปี

      เสน่ห์ของโลกใต้น้ำกาลาปากอสนั้นก็ชวนให้เราลงน้ำเย็นฉ่ำได้ทุกวัน น้ำทะเลที่นี่ใสแจ๋ว เพราะบนเกาะมีแหล่งน้ำจืดน้อยมาก ไม่มีแม่น้ำสายใหญ่พาตะกอนจากแผ่นดินลงสู่ทะเล ฝนนั้นมีบ้าง แต่น้อยกว่าบ้านเรานับสิบเท่า โอกาสที่ดินทรายริมชายฝั่งจะโดนฝนชะล้างลงน้ำมีน้อยยิ่ง

      น้ำใสยังพอหาได้ แต่มีบางอย่างที่หาไม่ได้ บางชีวิตที่อยากเห็นต้องกระโจนลงน้ำ ไม่ต้องใส่เว็ตสูทให้ยุ่งยาก เธอคือเพนกวินสายพันธุ์กาลาปากอส เป็นเพนกวินเล็กอันดับ 2 ของโลก ใหญ่กว่า Blue Penguin ที่ออสเตรเลียเพียงนิดเดียว

      กาลาปากอสเพนกวินไม่พบในที่อื่นใดของโลก สมัยก่อนเคยมีมากกว่า 13,000 ตัว แต่เหตุการณ์เอลนิโญทำให้ปลาเล็กอันเป็นอาหารของเพนกวินน้อยลงอย่างฉับพลัน เพนกวินเกือบร้อยละ 80 ตายในช่วง พ.ศ. 2525-2526 จำนวนลดลงเรื่อยมา จนคาดว่าเหลือแค่ 1,500 ตัวใน พ.ศ. 2547 และในจำนวนที่เหลืออยู่ เพนกวินอย่างน้อย 4 ตัวมีนิสัยน่ารัก เจอหน้าคนไทยเป็นพุ่งเข้าใส่ ว่ายไปว่ายมาคล้ายยั่วเย้าให้เราว่ายตาม บางทีก็แกล้งพุ่งเข้าหาก่อนหักหัวหลบออกไปด้านข้าง เรียกเสียงเฮฮาจากเราได้ไม่เบา

IMG_488.jpg
IMG_2687-1.jpg

อะไรเอ่ย สี่ตีนเดินมา หลังคามุงกระเบื้อง?

      ผมคิดถึงคำถามที่เด็กชอบ ก่อนมองหน้าเจ้าเต่ายักษ์ที่ก้าวสวบไปบนผิวดินแห้งด้วยเท้าขนาดใหญ่พอใส่รองเท้าเบอร์ 44 หากไม่ใช่เท้าเช่นนี้ คงไม่มีทางรับน้ำหนักตัว 250 กิโลกรัมของมันได้

      เต่าหยุด ยืดคอยาว คุณจะเชื่อมั้ยเนี่ยหากผมบอกว่าคอยาวเป็นเมตร ยืดแล้วมองซ้ายขวาได้ด้วยนะ ทว่าแม้เต่ายักษ์จะน่าสนใจปานไหน การนั่งดูเต่าเดิน เต่าหยุด เต่ากิน ตั้งชั่วโมง ย่อมทำให้เกิดอาการเบื่อ หันมาชมนกเล็กนกน้อยดีกว่า นกเหล่านี้บินกันให้พล่านย่านที่สูงของเกาะซานตาครูซ

      ฮื้อ...ฮื้ออออยย์ เสียงเช่นนี้ดังแว่วมา ผมหลงคิดไปว่าเต่าหนังท้องตึงหนังตาหย่อนกำลังกรน จนเมื่อนกบินหายจ้อย เสียงยังดังอยู่ ผมเริ่มคิด เต่าอะไรวุ้ย...กรน?

IMG_1723.jpg
IMG_1611.jpg

© 2018 by Truenaturephotos. All Rights Reserved

bottom of page