
บทความ
จัตุรัสบริเวณเมืองเก่าก็เป็นจุดเด่นที่สำคัญของเมือง อาคารบริเวณนี้มีอายุหลายร้อยปี แต่ยังมีสภาพที่ดี ที่เป็นจุดสนใจหลักคือศาลากลางเมืองเก่า (Old Town Hall) ซึ่งที่ฐานหอคอยจะมีนาฬิกาดาราศาสตร์ (Astronomical Clock) ติดตั้งมานานราว 600 ปี ปัจจุบันก็ยังใช้งานได้อยู่ ในหอคอยมีลิฟต์แก้วบริการนักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวปราก และบริเวณจุดชมวิว ทุกๆ ชั่วโมงก็จะมีผู้ชายแต่งตัวแบบโบราณเป่าแตรบอกเวลา บริเวณกลางจัตุรัสมีอนุสาวรีย์แจน ฮุส (Jan Hus) พระที่ต่อต้านการคอรัปชั่นของพวกคาทอลิกจนถูกนำมาเผาที่จัตุรัสนี้ และก็ได้ส่งผลให้มีการปฏิรูปศาสนาในเวลาต่อมา
ใกล้กับจัตุรัสมีโบสถ์เซนต์นิโคลาส (St. Nicholas Church) ก่อสร้างด้วยศิลปะแบบบาโร้ก ภายในงดงามมาก กับโบสถ์สุภาพสตรีของเราเบื้องหน้าทิน (Church of Our Lady before Tyn) สร้างด้วยศิลปะแบบบาโร้กเช่นกัน มีลักษณะเป็นหอคอยคู่มองเด่นแต่ไกล บริเวณจัตุรัสยังมีตรอกซอกซอยเป็นที่ตั้งของอาคารเก่าแก่อยู่ทั่วไป
ในปรากยังมีอาคารสถานที่ที่งดงามน่าชมอีกมาก เพียงแค่วันเดียวไม่อาจจะค้นพบปรากในมุมต่างๆ ได้ตามที่ใจต้องการ ก็เหมือนๆ กับหลายเมืองที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเวียนนา บูดาเปสต์ ที่ชมได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะพรุ่งนี้พวกเราก็ต้องมุ่งหน้าสู่เมืองเชสกี คุมลอฟแล้ว

บนเส้นทางสู่เชสกี คุมลอฟ (Cesky Krumlov) ปราสาทโคโนพิสต์ (Konopiste Castle) เป็นจุดแรกที่แวะชม ปราสาทนี้มีชื่อเสียงเนื่องจากเป็นที่ประทับสุดท้ายของอาร์ชดยุค ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย รัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งถูกลอบสังหารที่ซาราเจโว และเป็นชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 1 ลูกกระสุนที่ปลิดพระชนม์ชีพก็ตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์ของปราสาทด้วย ตัวปราสาทตั้งอยู่บนเนินเขาล้อมรอบด้วยป่าไม้ ในบริเวณปราสาทมีสวนที่สวยงาม ภายในตัวปราสาทมีการประดับผนังด้วยเขาสัตว์ (ส่วนใหญ่เป็นกวาง) จำนวนมาก รวมทั้งอาวุธ ภาพเขียน เครื่องถ้วยชาม ฯลฯ จากนั้นพวกเราก็ไปที่ปราสาทฮลูโบกา (Hluboka) ซึ่งเริ่มสร้างเมื่อกลางศตวรรษที่ 13 และมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ซึ่งครั้งสุดท้ายได้รับอิทธิพลจากปราสาทวินเซอร์ในอังกฤษ ทำให้มีลักษณะต่างจากปราสาทอื่นๆ ในเช็ก และยังทาสีขาวอีก เมื่อขึ้นไปบนยอดหอคอยจะเห็นวิวของเมืองได้สุดสายตา รอบปราสาทยังมีสวนสไตล์อังกฤษที่สวยงามอีกด้วย
ก่อนถึงเชสกี คุมลอฟ พวกเราได้มีโอกาสแวะเมืองเชสเก บูเดโจวิซ (Ceske Budejovice) เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในพื้นที่โบฮีเมียใต้ บริเวณจัตุรัสกลางเมืองมีอาคารเก่าแก่ ก่อสร้างด้วยศิลปะแบบโกธิค บาโร้ก เรเนสซองซ์ และศตวรรษที่ 19 ล้อมรอบจัตุรัส ทาสีแนวเดียวกับที่เทลค์ กลางจัตุรัสมีบ่อน้ำพุเก่าแก่ ประติมากรรมสมัยใหม่อยู่หลายจุด ดูตัดกันกับสภาพอาคารโดยรอบ จุดเด่นที่เห็นได้จากจัตุรัสคือหอคอยดำ (Black Tower) สร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16
เราไปถึงเมืองเชสกี คุมลอฟก็เย็นมากแล้ว จึงต้องทำเวลาในการเข้าไปชมปราสาทคุมลอฟ ปราสาทนี้ก่อสร้างในปี 1240 โดยตระกูลโรเซนเบิร์กซึ่งเป็นชนชั้นสูงของชาวโบฮีเมีย มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจากปราสาทปราก ในปี 1989 ถูกกำหนดให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติ และในปี 1992 ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพร้อมด้วยบริเวณเมืองเก่า เมื่อมองลงจากปราสาทจะเห็นภาพเมืองในมุมกว้างที่สวยงามมาก เหมือนเมืองในเทพนิยาย ส่วนบริเวณเมืองเก่าก็มีอาคารโบราณ ถนนเล็กๆ และตรอกซอกซอยที่ได้รับการอนุรักษ์ให้มีสภาพดี เหมือนเดินอยู่ในอดีตทีเดียว

วันรุ่งขึ้นพวกเราก็เดินทางต่อไปยังเมืองมาเรียนสเก้ ลาสเน่ (Marianske Lazne) ซึ่งเป็นเมืองแห่งสปาและน้ำแร่ธรรมชาติ ระหว่างทางมีโอกาสแวะถ่ายรูปปราสาทแห่งหนึ่งและตลาดขายของของชาวเวียดนาม ภูมิทัศน์ข้างทางเป็นเนินสลับสล้างด้วยป่าไม้สลับทุ่งข้าวสาลี มีดอกไม้ป่าหลากสี เห็นชาวเช็กจำนวนมากออกมาพักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์ ที่มาเรียนสเก้ ลาสเน่ มีสวนสาธารณะที่ใหญ่โต งดงามด้วยพันธุ์ไม้ น้ำพุเต้นระบำ สถานที่บริการสปา อาคารโดยรอบสวนทาสีหวานๆ เช่นกัน อาคารเหล่านี้สร้างในช่วงหลังของศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้มีชื่อเสียงและชนชั้นสูงของยุโรปต่างพากันมาใช้บริการรักษาตัวด้วยน้ำแร่ธรรมชาติที่นี้


เราไปถึงคาร์โลวี วารี (Karlovy Vary) ตอนเย็น ในเมืองกำลังมีเทศกาลประกวดภาพยนตร์นานาชาติ ทำให้บรรยากาศคึกคักมาก ผู้คน
ขวักไขว่ เมืองนี้ก็มีชื่อเสียงด้านน้ำพุร้อนและสปามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เช่นกัน เพราะมีผู้มีชื่อเสียงจากประเทศต่างๆ เดินทางมาใช้บริการมากมาย ในเมืองมีน้ำพุร้อนขนาดใหญ่มากกว่า 10 แห่ง ตัวเมืองตั้งอยู่ในหุบเขาที่เขียวชอุ่ม มีแม่น้ำเทบล่า (Tepla) ไหลผ่านกลางเมือง เมื่อเดินเลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ จะเห็นบรรดาอาคารบ้านเมืองสวยงามด้วยศิลปะแบบบาโร้กและอาร์ตนูโว ทาด้วยสีหวานๆ ดูแล้วสบายตา
วันสุดท้ายของทริป พวกเรากลับเยอรมนี ระหว่างทางแวะชมปราสาทซีฮอฟ (Schloss Seehof) ซึ่งก่อสร้างมานานเกือบ 400 ปีเพื่อเป็นที่ประทับในฤดูร้อนของเจ้าชายแห่งแบมเบิร์ก ตัวปราสาทได้รับการบูรณะจนมีสภาพที่โดดเด่นสวยงาม ด้านหลังมีสระน้ำพุพร้อมประติมากรรมขนาดใหญ่ พวกเราถึงแบมเบิร์ก (Bamberg) ในตอนบ่าย เมืองนี้มีอายุกว่าพันปี บริเวณเมืองเก่าได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1993 จุดเด่นที่เห็นได้คือศาลาว่าการเมืองเก่า อยู่กลางแม่น้ำเรกนิทซ์ (Regnitz) สร้างราวปี 1467 ด้วยศิลปะโกธิค ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 18 ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยรับอิทธิพลของศิลปะแบบบาโร้กและโรโคโค ผนังภายนอกอาคารเป็นภาพเขียนสวยงาม นอกจากนี้สถานที่น่าสนใจก็มีสำนักสงฆ์ไมเคิลเบิร์ก (Michaelsberg Abbey) พระราชวังเก่า ฯลฯ ถนนในเขตเมืองเก่ามีขนาดเล็กลัดเลาะไปตามอาคารที่เก่าแก่ เป็นมนต์เสน่ห์สำคัญของแบมเบิร์ก


ทัวร์ยุโรปตะวันออกของพวกเราปิดฉากที่นี่ จริงๆ แล้วแต่ละจุดหรือเมืองที่แวะเที่ยวชมมีความประวัติความเป็นมา น่าสนใจให้เรียนรู้และถ่ายรูปอีก มาก แต่ด้วยเวลาที่จำกัด ทริปครั้งนี้จึงเป็นแค่ออร์เดิร์ฟก่อน ในโอกาสหน้าเมื่อเวลาอำนวย เรื่องราวของยุโรปตะวันออกก็จะมีการเผยแพร่ในรายละเอียดออกมาเป็นระยะๆ

