
บทความ
สาธารณรัฐเช็ก...เสน่ห์แห่งโบฮีเมีย
คุณอภิชาต ขนบดี...เรื่อง
คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...ภาพ
จุดแรกที่แวะเที่ยวในแผ่นดินเช็กคือเมืองวาลติเซ่ (Valtice) และเมืองแฝดเลดนิเซ่ (Lednice) ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมภูมิทัศน์ร่วมกันเมื่อปี 1996 วาลติเซ่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนออสเตรีย เป็นที่ตั้งของปราสาทซึ่งก่อสร้างด้วยศิลปะแบบบาโร้กเมื่อต้นศตวรรษที่ 18 เพื่อให้เป็นที่ประทับของเจ้าชายแห่งลิชเทนสไตน์ ที่เป็นจุดเด่นอีกอย่างคือสวนแบบอังกฤษ รายล้อมตัวปราสาท ปัจจุบันพื้นที่ส่วนหนึ่งของปราสาทได้ใช้เป็นที่เก็บและจำหน่ายไวน์ ไม่ไกลนักก็คือปราสาทเลดนิเซ่ ในศตวรรษที่ 17 เป็นที่พักผ่อนในฤดูร้อนของเจ้าชายแห่งลิชเทนสไตน์ ก่อสร้างด้วยศิลปะแบบบาโร้ก ต่อมาได้รับการปรับปรุงใหม่เป็นแบบนีโอ-โกธิค รอบบริเวณปราสาทมีสวนสวยแบบอังกฤษและเรือนเพาะชำพันธุ์ไม้ขนาดใหญ่ น่าเสียดายที่เราไม่มีเวลามากพอจะเข้าชมภายในปราสาท เพราะไปถึงก็เย็นมากแล้ว
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นมีโอกาสไปถ่ายรูปปราสาทช่วงสั้นๆ ก่อนเดินทางไปปราก ที่หมายแรกของวันนี้คือเมืองเทลค์ (Telc) ซึ่งก่อตั้งเมื่อศตวรรษที่ 13 เคยเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างโบฮีเมีย โมราเวียและออสเตรีย สถานที่น่าสนใจในเทลค์ ได้แก่ จัตุรัสกลางเมืองที่มีอาคารร้านค้าสร้างในศิลปะแบบเรเนสซองซ์และบาโร้ก ลักษณะแปลกตาด้วยหน้าจั่วหลากแบบ ทาด้วยสีหวานๆ และส่วนบนของอาคารจะยื่นออกมาเป็นคลุมทางเดิน (อาร์เคด) ในอดีตอาคารเหล่านี้สร้างด้วยไม้ แต่เกิดเพลิงไหม้หลายครั้ง จึงได้เปลี่ยนเป็นก่อสร้างด้วยอิฐที่แข็งแรง ทนทานกว่า ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนกลุ่มอาคารเหล่านี้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 1992

เทลค์ยังมีปราสาทโบราณสร้างเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 17 ด้วยศิลปะแบบเรเนสซองซ์พร้อมด้วยสวนสไตล์อังกฤษที่ร่มรื่นสวยงามอีกด้วยบริเวณรอบนอกเมืองเทลค์เป็นเนินสูงต่ำ เป็นพื้นที่ปลูกข้าวสาลี ผลไม้ สลับกับป่าไม้ตลอด ทำให้ภูมิทัศน์มีสีสลับระหว่างเฉดสีเขียวหลายระดับของข้าวสาลี พืชไร่ ทุ่งหญ้า ป่าสน กับท้องฟ้าสีคราม ปุยเมฆสีขาว สร้างความสุขในช่วงเดินทางได้เป็นอย่างดี และพวกเรายังมีโอกาสจอดรถเก็บลูกเชอร์รีจากต้นที่อยู่ริมถนนมาชิม รสชาติก็อร่อยทีเดียว
จากเทลค์ จุดหมายต่อไปคือกุตนา โฮรา (Kutna Hora) ในอดีตดินแดนแถบนี้เรียกว่าแคว้นโบฮีเมีย เมืองนี้เป็นแหล่งผลิตแร่เงินที่สำคัญตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ต่อมาเหมืองถูกน้ำท่วมหนักในปี 1546 และปิดตัวลงในปลายศตวรรษที่ 18 ช่วงศตวรรษที่ 13-16 เมืองนี้มีความเจริญมาก เป็นคู่แข่งที่สำคัญของปราก ในด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมือง สถานที่น่าสนใจในเมืองนี้และที่เซดเลค (Sedlec) ซึ่งอยู่ใกล้กัน มี 3 แห่ง คือ โบสถ์เซนต์บาร์บารา (Church of St. Barbara) วิหารสุภาพสตรีของเราที่เซดเลค(Cathedral of Our Lady at Sedlec) และที่เก็บกระดูกแห่งเซดเลค (Sedlec Ossuary) ซึ่ง 2 แห่งแรกได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1995


จุดแรกที่แวะคือที่เก็บกระดูกแห่งเซดเลค เป็นโรงสวดอยู่ใต้โบสถ์ที่สร้างขึ้นในสุสาน ในช่วงปี 1400 มีการปรับพื้นที่เพื่อสร้างโบสถ์นี้ มีการรวบรวมกระดูกส่วนต่างๆ ของคนตายซึ่งว่ากันว่ามีจำนวน 40,000-70,000 คน มาประดิษฐ์เป็นสิ่งของต่างๆ ที่ใช้มากคือกะโหลกและแขน ขา ทำเป็นตราแผ่นดิน โคมไฟระย้า โลงศพ ฯลฯ จุดที่สองคือวิหารสุภาพสตรีของเราที่เซดเลค ของเดิมสร้างเมื่อศตวรรษที่ 13 เป็นวิหารของคริสต์ศาสนานิกายซิสเตอร์เซียน ได้รับการกล่าวขานว่างดงามอลังการที่สุดในแคว้นโบฮีเมีย ต่อมาในช่วงสงครามถูกเผาทำลายลง ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ ด้วยศิลปะแบบโกธิคผสมบาโร้ก ซึ่งไม่มีงานก่อสร้างใดในยุโรปเทียบเท่าได้ การก่อสร้างใช้เวลาเกือบ 300 ปี จุดที่สามคือโบสถ์เซนต์บาร์บารา สร้างในศิลปะแบบโกธิค ก่อสร้างด้วยความประณีตบรรจง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสาแหลมและตัวค้ำส่วนบนของโบสถ์ ทำให้เป็นที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปและเป็นโบสถ์โดดเด่นที่สุดในเช็ก ชื่อของโบสถ์มาจากนักบุญที่คอยให้ความช่วยเหลือแก่ชาวเหมืองเงิน โบสถ์แห่งนี้เริ่มสร้างเมื่อปี 1388 แต่มีอุปสรรคเกิดขึ้นหลายครั้ง จึงมาเสร็จเมื่อปี 1905 ภายในโบสถ์มีภาพเขียนแบบเฟรสโก้ แสดงชีวิตชาวเหมือง ภาพที่ประดับด้วยกระจกสี จากกุตนา โฮรา จุดหมายปลายทางวันนี้อยู่ที่ปราก ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 60 กิโลเมตร ไม่นานนักพวกเราก็ถึงปราก แรกเห็นตัวเมืองก็ชักจะหลงรักเสียแล้ว
ปราก (Prague) ก่อตั้งมากว่าพันปี ตัวเมืองกระจายอยู่บนเนินเขา
9 ลูก มีแม่น้ำวัลตาวาไหลผ่าน บริเวณที่ตั้งของเมืองเป็นจุดตัดของเส้นทางการค้าตั้งแต่สมัยโบราณ ทำให้ปรากมีวัฒนธรรมต่างๆ หลอมรวมกัน ประวัติศาสตร์ของปรากเริ่มต้นจากการสร้างปราสาทปรากในปี 885 ในอดีตปรากเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และเคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิโรมันถึง 2 พระองค์ ยุคที่ปรากรุ่งเรืองที่สุดคือช่วงรัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลที่ 4 อาคารสถานที่ในปรากสวยงามในรูปแบบศิลปะหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหอคอยแบบโรมานีส โบสถ์แบบโกธิค บาโร้ก พระราชวังแบบเรเนสซองซ์ สวนแบบอาร์ตนูโว ฯลฯ ทำให้ปรากเป็นเมืองที่สวยที่สุดเมืองหนึ่งในโลก นอกจากนี้ปรากยังมาก

ไปด้วยพิพิธภัณฑ์ โรงละคร แกลเลอรี่ ฯลฯ อาคารเหล่านี้ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ทำให้ปรากยังมีบรรยากาศเหมือนในอดีต บริเวณเมืองเก่าของปรากจึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1992
จุดแรกที่นักท่องเที่ยวต้องไปชมคือปราสาทปราก ซึ่งนับว่าเป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนเนินเขาฝั่งตะวันตก ภายในบริเวณปราสาทมีสถานที่สำคัญมากมาย เช่น St. Vitus Cathedral ก่อสร้างในศิลปะแบบโกธิค หน้าต่างภายในวิหารประดับด้วยกระจกสีเป็นเรื่องราวของคริสต์ศาสนา Vladislav Hall, Church and Monastery of St. George ฯลฯ นอกจากนี้ทำเนียบประธานาธิบดีก็อยู่ในบริเวณปราสาทเช่นกัน ภายในปราสาทเป็นที่รวมของอาคารที่สร้างในแบบศิลปะต่างๆ เกือบครบ ด้านหลังปราสาทจะมีซอยเล็กๆ เรียกว่า Golden Lane มีอาคารสมัยโบราณที่ได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดีปลูกติดกันเป็นแถว เป็นร้านจำหน่ายของที่ระลึก และที่น่าดูมากๆ คือมีชุดเสื้อเกราะโบราณรวมทั้งอาวุธตั้งไว้ให้ชมจำนวนมาก ทางเดินลงจากปราสาทจะผ่านจุดชมวิวเมืองปราก ภาพมุมกว้างของเมืองที่ปรากฏแก่สายตาคือ สีส้มแดงของหลังคาอาคารบ้านเรือนตัดกับท้องฟ้าสีครามและต้นไม้สีเขียว งดงามสมคำเล่าลือ
ทางลงจากปราสาทเป็นบันไดวกวนไปมา อาคารสภาสูงที่อยู่ด้านล่างของปราสาทก็มีสวนสวยด้วยน้ำพุและรูปปั้นสำริดประดับตามจุดต่างๆ ต่อจากนั้นก็เดินมาถึงสะพานชาร์ลที่มีชื่อเสียง ด้วยรูปแบบการก่อสร้างที่สวยงาม สะพานนี้เดิมเป็นทางเชื่อมที่สำคัญระหว่างปราสาทปรากฝั่งตะวันตกกับบริเวณเมืองเก่าที่อยู่ฝั่งตะวันออก เป็นสะพานคนเดิน มีแผงลอยของที่ระลึกขายอยู่ทั่วไป




