
บทความ
วันที่หก จากเมืองจูโนมาเป็นระยะทาง 276 ไมล์ทะเล ก็ถึงเมืองเคตชิเกน กินอาหารเช้าแล้วไปขึ้นรถบัสเล็กของบริษัทท่องเที่ยว เพื่อไปขึ้นเรือบินน้ำชมมิสตีฟยอร์ด (Misty Fjords National Monument) นาน 65 นาที เป็นเรือบินขนาดเล็ก จุได้ 6 ที่นั่ง สัมภาระทั้งหมดต้องฝากไว้ที่บริษัท ทุกที่นั่งติดริมหน้าต่าง เมื่อกัปตันสั่งให้รัดเข็มขัด เร่งเครื่องลุยน้ำกระจาย แวบเดียวก็ลอยอยู่เหนือน้ำเรียบนิ่งสีเขียวเข้ม ได้ชมวิวผาหิน น้ำตก ป่าสน เกาะแก่ง มองเห็น Eddystone Rock เป็นส่วนของภูเขาไฟที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา 237 ฟุต ลักษณะคล้ายเขาตาปูที่กลางอ่าวพังงา
ตอนบ่าย เดินเที่ยวชมเมืองเอง กะว่าจะไปดูการเพาะพันธุ์ปลาแซลมอนและเล่นกับนกอินทรีที่ Deer Mountain Tribal Hatchery and Eagle Center เดินเลียบลำธารไป มหัศจรรย์ ปลาแซลมอนว่ายน้ำอยู่เต็มลำธาร ตามลุ้นปลาให้กระโจนข้ามบันไดปลาโจนจนลืมเวลา ไปถึงศูนย์ก็เหลือเวลาไม่คุ้มจะเข้าชม โฉบผ่านอีกศูนย์ คือ Totem Heritage Center จึงแวะดูเสาไม้แกะสลัก (Totem) ของชนเผ่าพื้นเมือง (Tlingit ) ที่เก็บรวบรวมไว้
รีบกลับ เดินหลงไปออกทางใต้ของเมือง ต้องเดินย้อนกลับไปที่ท่าเรือ จึงได้ผ่านย่านถนนครีก (Creek Street) ที่หน้าบ้านแต่ละหลังมีทางเดินเป็นระเบียงเสาไม้ยกสูงยื่นไปในลำธาร สวย...เมื่อเหลือบไปเห็นป้ายบ้านดอลลี่ (Dolly’s House) จึงนึกได้ว่าย่านนี้เคยมีสถานประกอบการของหญิงอาชีพพิเศษเกือบ 30 แห่ง ตามคำบรรยายในหนังสือ ‘โลกกว้างโดดเดี่ยว’ ว่า …as the only place in Alaska where “the fishermen and the fish went upstream to spawn”




วันที่เจ็ด เรือแล่นตลอดทั้งคืนสู่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา จุดหมายปลายทางของการท่องทะเลครั้งนี้อยู่ห่างจากเมืองเคตชิเกน 517 ไมล์ เรือต้องแล่นอีกทั้งวันทั้งคืน
ตอนสาย เก็บของลงกระเป๋าเดินทาง ติดป้ายรหัสสีเฉพาะกลุ่มและหมายเลขห้อง แล้วยกออกไปวางไว้หน้าห้องพักก่อนสี่ทุ่ม จะมีพนักงานมารวบรวมไปเก็บไว้และนำลงจากเรือให้ในวันพรุ่งนี้ แยกสิ่งของที่ต้องการใช้วันพรุ่งนี้ไว้ในกระเป๋าเล็ก รวมทั้งแยกหนังสือเดินทาง เอกสารสำหรับยื่นตอนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของแคนาดา และเอกสารสำคัญอื่นๆ พกติดตัวด้วย
ก่อนห้าทุ่ม ต้องไปชำระเงินค่าใช้จ่ายทั้งหมดตามรายการที่ใส่ซอง มาให้ตอนหัวค่ำ ผู้โดยสารต้องจ่ายค่าตอบแทนงานบริการแบบเหมาจ่าย วันละ 10.50 เหรียญอเมริกัน พวกที่พักห้องชุดต้องจ่ายแพงขึ้นอีกวันละครึ่งเหรียญ
อาหารค่ำ จานหลักได้ชิมปูอะแลสกานึ่งกับน้ำจิ้มสุดแซบจากเมืองไทย จานของหวานสุดเก๋วางเค้กรูปเรือ ส่งท้ายค่ำคืนอำลาด้วยเพลงเก่าซึ้งๆ ที่ Crooners Lounge and Bar
วันที่แปด เรือจอดเทียบท่า Canada Place เวลา 7.30 น. ประทับใจในระบบทยอยจัดการให้ผู้โดยสารลงจากเรือ ลงไปรับกระเป๋าเดินทางที่แยกกองไว้ให้แล้วตามรหัสสี ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
เอากระเป๋าส่งผ่านบริษัทขนกระเป๋าล่วงหน้าไปสนามบิน แล้วไปเที่ยวเมืองแวนคูเวอร์ ได้ไปเยือน Stanley Park ต้นไม้ต้นยักษ์ทั้งนั้น ไปดูเสา Totem แล้วไปที่สะพานแขวนคาพิลาโน (Capilano Suspension Bridge) ต่อด้วยเยาวราช (China town) แวะดูสวนซุนยัดเซน (Dr. Sun Yat-Sen Classical Chinese Garden)
ภาคบ่าย ไปเที่ยว Gas town ดูนาฬิกาพ่นไอน้ำทุก 15 นาที ทุกชั่วโมงจะพ่นนานหน่อย จาก Gas town มองเห็นเรือ Coral Princess จอดอยู่ ปีนี้เรือหมดภารกิจล่องทะเลอะแลสกาแล้ว เรือออกจากท่าพร้อมผู้โดยสารเวลาบ่ายแก่ๆ พาไปล่องทะเลแถบปานามา
เครื่องบินขากลับบ้านออกจากแวนคูเวอร์ตีหนึ่งครึ่ง แวะเปลี่ยนเครื่องที่ไทเป ใช้เวลาบิน 17 ชั่วโมงถึงกรุงเทพฯ ใกล้เที่ยง รอต่อเครื่องไปเชียงใหม่อีก 3 ชั่วโมง ได้เห็นหน้าสามีที่สนามบินเชียงใหม่เกือบห้าโมงเย็น โอ ลา ล้า คิดถึงค่ะ สวัสดี



