
บทความ
ล่องเรือสำราญเที่ยวอะแลสกา
คุณกาญจนา นิมมานเหมินท์...เรื่อง
คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...ภาพ
“ครั้งหนึ่งในชีวิตกับการท่องดินแดนขั้วโลกเหนือด้วยเรือสำราญระดับโลก ล่องเรือสำราญเดินทางสู่ดินแดนขั้วโลกเหนือ ไปชมธารน้ำแข็ง ภูเขาหิมะ ถิ่นอินเดียนแดง เมืองขุมทอง ฟยอร์ดที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในอะแลสกา มลรัฐที่ 49 ของสหรัฐฯ ด้วยการเดินทางของเรือสำราญ Princess ที่หรูหราและสะดวกสบาย…”
โฆษณาจากเว็บไซต์ของบริษัทนำเที่ยวเป็นเหตุจูงใจให้เพื่อนมาชวนไปเที่ยว พอตัดสินใจว่าจะไปอะแลสกา เพื่อนผองก็ยิงคำถามกันเซ็งแซ่ว่าหนาวไหม บ้างก็ฟันธงเลยว่าหนาวจะแย่ มีแต่หิมะ จะไปทำไม ล่องเรือสำราญจะเมาเรือไหม อยู่บนเรือตั้ง 7 วันเบื่อแย่...
เริ่มหาข้อมูลมาไขข้อคาใจด้วยการท่องโลกอินเทอร์เน็ตและหนังสือท่องเที่ยว ต้องกลับไปซบอกหนังสือภาษาอังกฤษ ‘โลกกว้างโดดเดี่ยว’ ที่คุ้นเคย สามีก็ใจดี ขนซื้อหนังสือภาษาอังกฤษเล่มที่ต้องการ แถมเจ้าดังอื่นๆ มาประเคนให้อีกร่วมสิบเล่ม
เครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปเมืองแองคอเรจ (Anchorage) อะแลสกา แวะเปลี่ยนเครื่องที่ไทเป ใช้เวลาเฉพาะบินทั้งหมด 12 ชั่วโมงกว่าๆ ถึงตอนเช้า ฝนตกพรำๆ ต้อนรับ ค้างที่นี่ 1 คืน จึงมีเวลาค่อนวันในการเดินชมเมือง ไปเที่ยวตลาดนัด Anchorage Market and Festival ซึ่งมีอาหารพื้นเมืองที่ทำจากเนื้อกวาง (Elf) ขาย ได้ลองชิมทั้งแฮมเบอร์เกอร์และซุปเนื้อกวาง กินไปก็นึกถึงตาสวยๆ ของกวางไป พอกลับถึงโรงแรมก็หลับลืมบ้านลืมเมืองเลยทีเดียว
รุ่งเช้า รถบัสมารับไปท่าเรือเมืองวิททิเออร์ (Whittier) ที่เรือสำราญจอดรออยู่ ระหว่างทางรถจอดแวะให้เงยหน้าชมธารหิมะระหว่างซอกเขา แล้วก้มลงดูปลาแซลมอนในลำธารว่ายทวนน้ำมาราธอนเพื่อกลับไปวางไข่ยังลำธารที่เกิด บางตัวมีแผลเต็มทั่วตัว บางตัวไปไม่รอด ตัวที่ยังแข็งแรงก็กระดี๊กระด๊าไปต่อ
เรือสำราญ Coral Princess ลำยักษ์ทอดสมอรออยู่ ขนาด 91,627 ตันความยาว 294 เมตร กว้าง 38.4เมตร สูง 62 เมตร ความเร็วสูงสุด 23.4 น็อต (1น็อตเท่ากับ 1.852 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง) รับผู้โดยสารได้ 2,368 คน ลูกเรือ 930 คน ห้องพักผู้โดยสารร้อยละ 90 มีหน้าต่างชมวิว ห้องแบบมีระเบียงชมวิว 700 ห้อง มีเครื่องทำน้ำจืดจากน้ำทะเลสำรองได้ 2,199 ตัน มีเครื่องทำลายขยะไม่ให้เหลือทิ้งลงทะเล

เรือเที่ยวนี้ล่องลงใต้ จากท่าเรือเมืองวิททิเออร์ แล่นเลาะไปตามชายฝั่งทะเลอะแลสกาด้านตะวันตกเฉียงใต้ แวะคอเลจฟยอร์ด อ่าวกลาเซียร์ เมืองสแกกเวย์ เมืองจูโน เมืองเคตชิเกน ผ่านเข้าประเทศแคนาดา ขึ้นบกที่เมืองแวนคูเวอร์ ใช้เวลา 7 วันระยะทางทั้งสิ้น 1,544 ไมล์ทะเล (1 ไมล์ทะเลเท่ากับ 1.85 กิโลเมตร)
ทุกวันจะมีสื่อสิ่งพิมพ์ “พรินเซสแพทเทอร์ (Princess Patter)” แจ้งกำหนดการกิจกรรมประจำวัน เวลาพระอาทิตย์ขึ้น-ตก ข้อมูลเมืองสถานที่ และอื่นๆ รวมไปถึงสภาพอากาศและสภาพเครื่องแต่งกายประจำวันที่เหมาะสมแก่การดินเนอร์ด้วย มีโทรทัศน์สถานีของเรือออกอากาศให้เลือกชมตามใจชอบ (แค่เลือกเฉพาะสิ่งที่ชอบก็แทบไม่มีเวลานอนแล้ว)

วันที่สอง เรือแล่นเข้าใกล้คอเลจฟยอร์ด เห็นพระอาทิตย์ทอแสงแรก สวยคุ้มกับการทนหนาวรอดูอยู่ที่กราบเรือ กลาเซียร์ท่ามกลางขุนเขาหิมะอาบแสงอาทิตย์สะท้อนเงากระจ่างทาบท้องทะเล เมื่อเรือค่อยแล่นออกห่างมา แสงอาทิตย์เริ่มจัดจ้า แสงเงาแปรตามงามจับตา รีรออยู่จนแดดแย้มอุ่น ชั่วขณะกลับมีหมอกเข้าเคล้าเคลียทั่ว งามจับใจ แดดสวย ฟ้าใสงามสุดวัน ถึงเวลาค่ำแต่งกายเลิศหรูไปงาน Captain’s Champagne Waterfall Party มีการจัดเรียงแก้วแชมเปญนับร้อยใบเป็นรูปกรวยคว่ำจบยอดกรวยด้วยแก้วใบเดียว แล้วให้ผู้มาร่วมงานทยอยกันขึ้นไปรินแชมเปญลงในแก้วใบยอด แชมเปญจะล้นลงสู่แก้วที่อยู่ต่ำลงมาเรื่อยๆ จน
ครบทุกใบ ค่ำคืนแสนสำราญจบด้วย Motor City Show ที่โรงละครพรินเซส
วันที่สาม มื้อเช้าลองชิมไส้กรอกเนื้อแมวป่า (Lynx) เคล้าเสียงบรรยายของเจ้าหน้าที่พิทักษ์อุทยานฯ เกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติอ่าวกลาเซียร์ (Glacier Bay National Park and Preserve) ซึ่งเป็นแหล่งรวมของธารหิมะ 11 สาย ไหลลงจากยอดเขาสู่อ่าวกลาเซียร์ หิมะที่ปลายสายธารหิมะมักถล่มทลายส่งเสียงดังสนั่นกลายเป็นก้อนน้ำแข็งหลากหลายขนาด รูปทรง สีฟ้าอ่อนเข้มสลับงดงาม เมื่อ 30 ปีก่อน จอห์น เมียร์ (John Muir) นักอนุรักษ์ธรรมชาตินามอุโฆษมาสำรวจ ได้พบว่าธารหิมะละลายและถดถอยลง 45 ไมล์ แต่ใน พ.ศ.2552 ด้วยผลจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศของโลก ทำให้ธารหิมะละลายและสั้นลงอีก 20 ไมล์
บ่ายโมงสี่สิบเจ็ด เรือพามาถึง Tarr Inlet ประจันหน้ากับปลายสายธารหิมะชื่อมาร์การี (Margarie Glacier) หนึ่งใน 11 สายที่ไหลลงสู่อ่าวกลาเซียร์ ดูเหมือนกำแพงหิมะยาวเหยียด สูง 250 ฟุต มีส่วนอยู่ใต้น้ำอีก 100 ฟุต เกิดจากยอดเขารูท (Mount Root) บริเวณชายแดนสหรัฐอเมริกา-แคนาดา ไหลมาเป็นระยะทาง 34 กิโลเมตร กวาดเอาเศษหินเศษดินมาด้วย จึงเห็นเป็นสีดำตัดกับสีฟ้าของหิมะ


วันที่สี่ เรือแวะให้ขึ้นบกเที่ยวเมืองสแกกเวย์แต่เช้า ลงจากเรือก็มองเห็นรถไฟที่จะพาขึ้นเขาชมทิวทัศน์จอดเทียบรออยู่แล้ว รถไฟแล่นจากสถานีสแกกเวย์ ค่อยๆ ไต่ขึ้นเขาผ่านสถานีต่างๆ 16 สถานีไปจนถึงสถานี White Pass Summit ที่ความสูง 2,865 ฟุต เหนือเมืองสแกกเวย์ ระหว่างทางมองเห็นทางเดินเท้า Chilkoot Trail ที่นักเสี่ยงโชคยุคตื่นทองใช้เดินเท้าไปเมืองคลอนได (Klondike) เพื่อขุดหาทองคำ ทางเล็กมากพอให้วางเท้าได้เท่านั้น
ตอนบ่ายได้เดินชมเมืองที่พยายามคงสภาพของเมืองในยุคตื่นทองไว้ วันนี้ซึ่งเป็นปลายฤดูท่องเที่ยว เมืองสแกกเวย์มีเรือ

สำราญมาเยือน 2 ลำ ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวประมาณ 4,000 คน คิดเป็น 4 เท่าของชาวเมือง ทั้งปีมีเรือสำราญมาเยือนถึง 400 ลำ บางวันมีเข้ามาพร้อมกัน 5 ลำ สนุกจริงๆ
วันที่ห้า เรือเทียบท่าถนนแฟรงคลิน เมืองจูโน (Juneau) เมืองหลวงของรัฐอะแลสกา ซึ่งมีพื้นที่ถึง 3,248 ตารางไมล์ ตัวเมืองตั้งอยู่ชิดทะเลบนลาดเขาจูโนและเขาโรเบริด สูงขึ้นไปเหนือตัวเมืองเป็นทุ่งหิมะใหญ่ คือ Juneau Ice Field แผ่คลุมเทือกเขาริมทะเล เป็นต้นกำเนิดของธารหิมะมากมายหลายสาย
เช้าขึ้นรถเมล์ไปเที่ยวธารหิมะชื่อก้องโลก “เมนเดนฮอล (Mendenhall Glacier)” อยู่ห่างจากเมืองจูโน 19 กิโลเมตร ลงจากรถก็มองเห็นปลายธารหิมะจุ่มลงในทะเลสาบเมนเดนฮอล ไม่มีเวลามากพอ จึงทำได้แค่ขึ้นไปเยือนศูนย์อำนวยการ Mendenhall Glacier Visitor Center แล้วรีบกลับมาที่ท่าเรือให้ทันทัวร์เฮลิคอปเตอร์ชมกลาเซียร์ที่จองไว้ ทว่าอากาศไม่อำนวย เลยต้องยกเลิกรายการเหินฟ้าทัวร์ไป



