
บทสัมภาษณ์
บนเส้นทางหลังคาโลก...ทิเบต
ทิเบตเป็นเขตแดนแห่งความสงบงาม เป็นเสมือนดินแดนแห่งความฝันที่มีอยู่จริงในโลกใบนี้ เอ่ยนาม ‘ทิเบต’ ไม่มีใครไม่นึกถึงภาพวัด วังโบราณ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาสูงใหญ่เรียงราย แม้ยิ่งใหญ่ ทว่าแฝงความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ในที นอกจากนี้ วิถีปฏิบัติของผู้คนที่ยึดมั่นศรัทธาในศาสนาอย่างแนบแน่น ยังเป็นความงามที่ไม่เคยจางไปจากแผ่นดินแห่งขุนเขา
สำหรับนักท่องโลกเช่นคุณไพศาล เจริญจรัสกุล ผู้มีสายตามองเห็นความงามของโลกและชื่นชมวิถีวัฒนธรรมของผู้คนที่แตกต่าง
หลากหลาย ทิเบตนับเป็นจุดหมายหนึ่งที่ไม่อาจพลาด
:: สังเกตจากการเดินทางที่ผ่านๆ มาของคุณไพศาล ส่วนใหญ่จะเป็นการเดินทางไปในพื้นที่ภูเขาสูง อย่างแถบเทือกเขาหิมาลัยนี่ไปมารอบรึยังคะ ::
ผมเดินทางไปในประเทศรอบๆ หิมาลัยครบหมดแล้วครับ อย่างอินเดีย ภูฏาน เนปาล จีน ในส่วนของทริปนี้คือทิเบต ถือว่าเป็นการเดินทางครั้งที่ 2 โดยครั้งแรก ผมไปที่เขาไกรลาส ซึ่งอยู่ในเขตทิเบตตะวันตก ส่วนครั้งนี้ไปลาซา ซึ่งเป็นเขตเมืองหลวง
:: การเดินทางครั้งนี้ต้องนั่งรถยนต์เป็นระยะทางยาวไกลหลายร้อยกิโลเมตร วิวทิวทัศน์ระหว่างทางส่วนใหญ่เป็นยังไงคะ ::
สภาพภูมิประเทศจากเมืองหลินจือ ซึ่งเป็นจุดที่เราเริ่มนั่งรถเที่ยว ไปจนถึงลาซา ตลอดทางนี่ต้องบอกว่าอุดมสมบูรณ์มาก มีทั้งทุ่งหญ้า ต้นไม้ แม่น้ำ ทะเลสาบ เรียกว่าเป็นเขตการเกษตร รอบตัวคือพื้นที่สีเขียว ผู้คนก็ค่อนข้างหนาตา แต่พอเลยลาซาไปได้ประมาณสักร้อยกิโลฯ ก็เริ่มแห้งแล้งแล้ว
:: ทริปลาซา-ชิงไห่ครั้งนี้ใช้เวลาเดินทางท่องเที่ยวถึง 12 วัน คุณไพศาลประทับใจที่ไหนที่สุดคะ ::
ผมชอบพื้นที่แถบใกล้ๆ ชายแดนจีน-เนปาล แถวๆ เมืองนยาลัม จะมีถนนเส้นนึงตัดลงไปทางใต้ รู้สึกว่ายังไม่ค่อยเจริญเท่าไหร่ แต่บริเวณนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้ามาของศาสนาพุทธในทิเบต โดยเข้ามาจากเนปาล ที่นั่นมีวัดเก่าๆ ซึ่งบ่งบอกเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาพุทธเยอะแยะไปหมด
จะว่าไปแล้ว ทริปนี้ไปเที่ยววัดทุกวันเลยครับ แต่ละวัดมีประวัติตำนานเยอะแยะไปหมด จนจำไม่ไหว เวลากลับมาดูรูปก็จำไม่ได้ว่าวัดอะไร (หัวเราะ) ยกเว้นวัดที่สำคัญ แตกต่างจากวัดอื่น เช่น วัดซัมเย่ ซึ่งเป็นวัดแห่งแรกของทิเบต
:: นักเดินทางหลายคนเล่าว่า ลาซาเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วในช่วงหลังๆ นี้ โดยมีความเป็นจีนเข้ามาแทรกซึมอยู่มาก คุณไพศาลคิดเห็นยังไงคะ ::
ก็จริงครับ เป็นนโยบายของจีนไงครับ เนื่องจากลาซาเป็นเมืองหลวงของทิเบต ถ้าจีนจะปกครองทิเบตได้ง่ายก็ต้องส่งชาวฮั่นเข้าไปทำการค้าในแถบนั้น แล้วค่อยๆ เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม วิถีชีวิตของชาวทิเบต มีคนถามผมว่าเสียดายมั้ย ต้องตอบว่า มันก็ต้องเป็นไปตามนั้นละครับ แต่ถึงแม้ภายในเมืองลาซาจะมีความเปลี่ยนแปลง มีตึกแถวแบบจีนเกิดขึ้นมาก แต่ด้านนอกเมืองก็ยังมีวัดเก่าแก่อีกเยอะมาก บอกถึงความยิ่งใหญ่ของทิเบตในสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี อย่างในเรื่องพื้นที่นี่ ผมคิดว่าทิเบตน่าจะมีอาณาเขตกว้างใหญ่ถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งหมดของจีน แล้วยังกินพื้นที่ไปถึงเนปาล อินเดีย ภูฏาน อีกนิดหน่อย
:: แล้วในส่วนของเมืองสำคัญอีก 2 เมือง คือ เจียนเซ่และชิกัตเซ่ละคะ ::
เจียนเซ่ก็เป็นเมืองใหญ่ แต่ผมใช้เวลาอยู่ที่เมืองนี้ไม่มากนัก เราเข้าชมสถานที่สำคัญ 2 แห่งของเมือง คือวัดเพลกอร์ และปราสาทตรองซาน ซึ่งได้รับสมญานามว่าโปตาลาน้อย ส่วนแถบเมืองชิกัตเซ่เป็นแหล่งปลูกข้าวสาลี ผลผลิตมากมายเหล่านี้ทำให้ชิกัตเซ่เป็นเมืองสำคัญอันดับ 2 ของทิเบต รองจากลาซา ชิกัตเซ่กับลาซามีความคล้ายคลึงกัน คือ มีวัดใหญ่ๆ เยอะ ที่ชิกัตเซ่มีวัดตาชิลุนโป ซึ่งมีพระพุทธรูปพระศรีอารยเมตไตรย์องค์ใหญ่ที่สุดในโลกประดิษฐานอยู่ครับ
:: การเดินทางอีกรูปแบบหนึ่งของทริปนี้คือนั่งรถไฟจากลาซาไปเมืองซีหนิง บรรยากาศบนรถไฟเป็นยังไงบ้างคะ ::
ต้องยอมรับว่ารถไฟของจีนดีกว่าของเราเยอะเลย สำหรับรถไฟขบวนลาซา ปลายทางปักกิ่ง ที่ผมใช้บริการนี้ จะแล่นผ่านไปบนพื้นที่ที่มีระดับความสูงกว่า 4,000 เมตร ทุกๆ หัวเตียงก็จะมีช่องสำหรับเสียบออกซิเจน ถ้าเรารู้สึกอึดอัด หายใจไม่สะดวก ขาดออกซิเจน ก็สามารถใช้บริการได้ทันทีเลย แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะต้องเสียเงินเพิ่มมั้ย เพราะยังไม่ได้ลองใช้บริการ (หัวเราะ) จริงๆ แล้วก็คงแทบไม่มีใครใช้ออกซิเจนสำรองนี้ละครับ เพราะรถไฟติดกระจกสองชั้น และปรับอากาศ ปรับระดับความดันให้พอดี เวลาเดินทางเราแทบไม่รู้สึกอะไรเลย
วิวที่เราเห็นระหว่างทางนั้นต้องบอกว่าเป็นคนละอย่างกับเส้นทางรถยนต์ที่ผ่านมาเลย คือส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์และเขตอนุรักษ์สัตว์หายาก ผมได้เห็นสัตว์ชนิดหนึ่ง มีชื่อเฉพาะเป็นภาษาจีน ซึ่งผมจำชื่อไม่ได้แล้ว ลักษณะตัวมันจะคล้ายๆ ละมั่ง ความพิเศษของสัตว์ชนิดนี้คือ ชาวบ้านจะนำขนอ่อนตรงช่วงคอของมันไปทอผ้าพันคอ ขายกันผืนละเป็นแสนเลยนะ คนซื้อก็นักท่องเที่ยวฝรั่งน่ะครับ
:: จากลาซา เมืองหลวงของทิเบต มาถึงซีหนิง เมืองเอกของมณฑลชิงไห่ เมืองนี้มีความน่าสนใจยังไงคะ ::
สำหรับผม ซีหนิงน่าสนใจตรงที่เป็นเมืองชุมทาง ซึ่งมีผู้คนเดินทางมามากมาย ทั้งจากมณฑลซินเจียงและจากทิเบต ทั้งเดินทางมาถึงแล้วเดินทางต่อไป รวมทั้งเดินทางมาแล้วเลือกที่จะตั้งหลักแหล่ง ที่นี่มีทั้งชาวมุสลิมและจีนฮั่นปะปนกัน แน่นอนว่าจีนฮั่นเยอะกว่าอยู่แล้ว ตามนโยบายของจีนที่นำธุรกิจเข้าไปกลืนวัฒนธรรม แต่ชาวเมืองก็อยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืน ปัญหาความแตกแยกก็ลดน้อยลง พูดง่ายๆ ว่าเป็นเมืองที่ผู้คนแตกต่าง แต่ไม่แตกแยกครับ
