
บทสัมภาษณ์
วงแหวนจีนใต้บนเส้นทางสายภูเขา
ลาว-เวียดนาม-จีน
ไม่จำเป็นต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลข้ามทวีป ประสบการณ์แห่งการท่องเที่ยวที่น่าจดจำก็ก่อเกิดขึ้นได้เช่นกัน
ไม่ใกล้ ไม่ไกล ด้วยระยะทางหลักพันกิโลเมตรและระยะเวลาสิบกว่าวัน กับการตระเวนเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านรายรอบไทยทางรถยนต์ ในเส้นทางวงแหวนจีนใต้ ลาว-เวียดนาม-จีน ซึ่งตั้งต้นเดินทางจากอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย อันนับเป็นหนึ่งในประตูสู่เพื่อนบ้านอาเซียน ได้นำพาคุณไพศาล เจริญจรัสกุล ไปพบความงดงามของเส้นทางสายภูเขาและวิถีชีวิตที่ดูเหมือนจะคล้าย ทว่าแตกต่างในรายละเอียด ได้อย่างใกล้ชิดจนเกิดความประทับใจไม่รู้ลืม
:: ทราบมาว่าการเดินทางครั้งนี้คุณไพศาลใช้เวลานั่งรถหลายวัน รบกวนคุณไพศาลช่วยเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวในเส้นทางวงแหวนจีนใต้หน่อยนะคะ ::
ทริปนี้ผมเริ่มนั่งรถจากอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย แต่เพื่อนร่วมทางหลายคนเริ่มจากหมอชิต ตอนแรกผมจะตั้งชื่อทริปนี้ว่า ‘จากหมอชิตสู่คุนหมิง’ ด้วยซ้ำ (หัวเราะ) เพราะนั่งรถกันยาวนานจริงๆ ซึ่งพอนึกถึงระยะทางแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน ใครจะนั่งรถทัวร์ก็นั่งไป แต่ผมขอนั่งเครื่องบินไปลงที่เชียงราย แล้วช่วยหารถมาพาผมไปที่เชียงของด้วย
เป็นการนั่งรถเที่ยวข้ามประเทศที่ไม่ยุ่งยากครับ เพราะเราติดต่อรถและไกด์ล่วงหน้าแล้ว พอข้ามไปถึงห้วยทรายก็มีรถของทางลาวมารับ ใครอยากหยุดเที่ยวหรือหยุดถ่ายภาพตรงไหนก็บอก เขาจะจอดรถให้
ตอนรถแล่นอยู่ในลาวต้องระวังพอสมควร เพราะมีบ้านเรือนของชาวม้งตั้งอยู่ริมทาง บางช่วงมีเด็กๆ ออกมาวิ่งเล่นบนถนน รวมทั้งมีการตากพืชผลบนถนนด้วย
วันแรกเราแวะที่เมืองหลวงน้ำทา ได้ไปเที่ยวที่วัดที่ดังที่สุดของเมือง ซึ่งวัดนี้เป็นจุดชมวิวด้วย ปัจจุบันเมืองหลวงน้ำทามีตึกรามบ้านช่องเพิ่มขึ้นมาพอสมควร แต่บรรยากาศของเมืองก็ยังดีอยู่ สำหรับโรงแรมก็ถือว่าใช้ได้ สะดวกดีครับ
เราพักอยู่ในลาวแค่คืนเดียว วันต่อมาก็เดินทางไปที่ชายแดนลาว-เวียดนาม ถนนหนทางสะดวกเกือบทั้งเส้นทาง มีบางช่วงที่อยู่ในระหว่างปรับปรุงขยายถนนให้ใหญ่ขึ้น ถนนในลาวส่วนใหญ่เป็นทางลูกรัง แต่พอเข้าเวียดนามแล้วทางก็ดีขึ้นหน่อยนึง กลายเป็นทางลูกรังสลับกับทางลาดยาง
ขั้นตอนการผ่านแดน ลาว-เวียดนามไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นาน ราวๆ 10 นาทีเองครับ พอเข้าเวียดนามแล้ว เราก็แวะเที่ยวชมเมืองตามรายทางก่อนถึงเดียนเบียนฟู ส่วนใหญ่เป็นเมืองเล็กๆ สงบ ชาวเมืองยังมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม
:: บรรยากาศการเที่ยวเวียดนามต่างจากลาวไหมคะ ::
นอกจากถนนที่ดีกว่าแล้ว ที่พักในเดียนเบียนฟูก็เป็นโรงแรมค่อนข้างดีครับ เขาสร้างเป็นบ้านไม้หลังใหญ่ แต่ละหลังมี 4 ห้องนอน ตั้งอยู่ติดกับทะเลสาบที่รัฐบาลสร้างไว้เพื่อทำการเกษตร เขาให้ความสำคัญกับการปลูกข้าว ที่เวียดนามทำนากัน 3-4 ครั้งต่อปีเลยครับ
สิ่งที่ต่างกันอีกอย่างคือค่าใช้จ่าย ลาวมีค่าครองชีพสูงกว่าเวียดนามนะ อย่างเฝอเนี่ย ในลาวชามละ 50-60 บาท ชาวบ้านเขาก็กินกันในราคานี้ ทั้งๆ ที่รายได้เขาก็ไม่ได้เยอะ เป็นเพราะทุกอย่างต้องนำเข้า สิ่งที่ลาวขายคือทรัพยากรธรรมชาติ ขณะที่เวียดนามมีอาหารอุดมสมบูรณ์กว่า ผลิตข้าวของเครื่องใช้ได้มากกว่า
เราพักในเวียดนามหลายคืน เลยได้เที่ยวหลายที่ ได้สัมผัสเรื่องราวของเขาค่อนข้างมาก อย่างเดียนเบียนฟูซึ่งเป็นอนุสรณ์ของสงครามระหว่างเวียดนามกับฝรั่งเศส ก็ทำให้ผมเห็นว่าคนเวียดนามร่วมแรงร่วมใจและมุมานะมากแค่ไหน คนของเขามีความเสียสละ ยอมพลีชีพ ถึงขนาดติดระเบิดไว้กับตัวเอง แล้วขุดอุโมงค์ลงไปใต้ฐานทัพฝรั่งเศส เมื่อกดระเบิด เวียดนามตายไม่กี่คน แต่ฝรั่งเศสตายที 300-400 คน
นอกจากนี้ผู้นำเวียดนามก็ฉลาดด้วย ตอนที่มีการเจรจายุติศึก เขาไม่พูดเฉพาะแค่เวียดนามกับฝรั่งเศส แต่พูดรวมไปถึงอินโดจีนกับฝรั่งเศส ซึ่งรวมถึงเขมรและลาวด้วย จุดนี้เองที่ทำให้เวียดนามได้ใจชาวเขมรและลาวไปไม่น้อย
:: แหล่งท่องเที่ยวดังอีกแห่งของเวียดนามเหนือคือซาปา คุณไพศาลได้ไปที่นั่นด้วยไหมคะ ::
ไปครับ ผมพักที่ซาปา 2 คืน ช่วงที่ไปตรงกับช่วงฤดูหนาว อากาศกำลังสบาย แต่หมอกลงจัดมาก มากจนมองไม่เห็นนาขั้นบันไดเลยล่ะ
แหล่งท่องเที่ยวที่เราไปกันก็คือหมู่บ้านเล็กๆ สถานที่ที่ฝรั่งเศสเคยเข้ามาปกครอง โรงแรมแห่งแรกของเมือง แล้วก็น้ำตก ซึ่งสวยดีครับ
สำหรับผม ซาปามีเสน่ห์ตรงผู้คนที่เป็นชนพื้นเมือง ทุกวันนี้พวกเขายังแต่งชุดชาวเขา ชุดประจำเผ่ากันอยู่เลย
:: จากเวียดนาม คุณไพศาลเดินทางข้ามเข้าจีน ออกจากด่านไหนและไปถึงเมืองอะไรคะ ::
ผมออกจากเวียดนามที่ด่านพรมแดนในเมืองลาวกาย ห่างจากซาปาไปไม่ไกลมากครับ เราข้ามด่านเหอโขว่ของจีน แล้วเปลี่ยนรถเป็นรถของบริษัททัวร์จีน เดินทางไปถึงคุนหมิง ระหว่างทางก็แวะเที่ยวทุ่งมัสตาร์ด เมืองโหลวผิง เที่ยวไร่ท้อ เราอยู่ในจีน 5-6 วัน เรียกว่าใช้เวลานานที่สุดในทริปนี้ ซึ่งรวมแล้วเราใช้เวลาทั้งทริป 12 วัน
:: หลังจากเที่ยว 3 ประเทศ ลาว เวียดนาม และจีนแล้ว คุณไพศาลชอบอะไรที่สุดใน 3 ประเทศนี้คะ ::
ในลาว ผมชอบความเป็นชนบท บรรยากาศแบบที่ยังเห็นวิถีชีวิตดั้งเดิม ส่วนที่เวียดนาม ผมได้เห็นการพัฒนาของเขา แล้วก็ประทับใจในความขยัน แม่ค้าหลายคนที่เจอ ปากก็เจรจาขายของต่อรองราคากับลูกค้า ขณะที่ด้านหลังสะพายลูกไว้ คือเลี้ยงลูกไปด้วยนั่นเอง พอว่างจากการขายของก็นั่งทำงานฝีมือ ผมยังได้เจอไกด์ที่มารอนักท่องเที่ยวอยู่หน้าโรงแรม บางคนพานักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ โดยไม่คิดค่าตัว แต่เขาได้ ค่าน้ำร้อนน้ำชาจากร้านค้าที่พานักท่องเที่ยวไปซื้อของ และแม้ไกด์จะไม่เรียกร้องค่าตอบแทน แต่สุดท้ายนักท่องเที่ยวก็ประทับใจแล้วให้ทิปเขาล่ะครับ
สำหรับเมืองจีน ผม ประทับใจที่รัฐบาลเปิดสัมปทานให้เอกชนเข้ามาดูแลและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว บางสถานที่ที่ผมเคยไป ก่อนหน้านี้ไม่สะดวกสบาย ปัจจุบันก็ดีขึ้นมาก เช่น นาขั้นบันไดที่เมื่อก่อนต้องเดินลื่นๆ ลงไป ทางไม่สะดวก แต่เดี๋ยวนี้ทำทางอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวอย่างดี ความสะอาดก็มีมากขึ้นด้วย
