
บทสัมภาษณ์
พบภาพงามในแดนโสมแดง
ขณะที่เกาหลีใต้เป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบละครซีรีส์รักโรแมนติก เลือกเดินทางไปเยือนเพื่อเปิดประสบการณ์จากจอทีวีให้กลายเป็นภาพจริงที่สัมผัสได้ คุณไพศาล เจริญจรัสกุล นักแรมทางรุ่นใหญ่ของเรา กลับเบนจุดหมายขึ้นไปสูงกว่านั้น คือดินแดนโสมแดง หรือเกาหลีเหนือ ประเทศที่ปิดตัวเองจากการรับอารยธรรมตะวันตกและการเปลี่ยนแปลงจากโลกเสรีภายนอกมายาวนาน จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า การเดินทางครั้งนี้ได้ให้ประสบการณ์ที่ดีกับคุณไพศาล ซึ่งท่านได้มาบอกเล่าให้เราฟังอย่างเป็นกันเองเหมือนเช่นทุกทริปที่ผ่านมา
:: ทราบมาว่าทริปนี้ คุณไพศาลเดินทางเข้าจีนก่อน จากนั้นจึงเดินทางต่อไปยังเกาหลีเหนือ ทำไมไม่เดินทางตรงเลยล่ะคะ ::
เพื่อนๆ ผมหลายคนก็สงสัยเรื่องนี้ครับ เหตุผลคือไม่มีสายการบินที่ให้บริการเส้นทางบินตรงจากเมืองไทยไปเปียงยาง เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ ฉะนั้นเราจึงต้องไปเริ่มต้นที่เมืองเสิ่นหยาง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในมณฑลแถบอีสานของจีน เมืองนี้อยู่เหนือจากปักกิ่งขึ้นไปประมาณ 700 กิโลฯ เป็นจุดที่ใกล้เปียงยางที่สุด
จริงๆ แล้วจากเสิ่นหยางมีเครื่องบินเข้าเปียงยาง แต่เราอยากสำรวจเส้นทางน่ะครับ ก็เลยนั่งรถกันไป ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงก็ถึงเมืองตันตง ซึ่งเป็นเมืองชายแดนของจีน
:: ทริปนี้ก็เลยได้เที่ยวทั้งเมืองจีนและเกาหลีเหนือเลยนะคะ ::
ครับ แต่สำหรับเมืองเสิ่นหยาง ผมขอเล่าข้ามนะครับ เพราะเดี๋ยวจะยาวเกินไป เริ่มกันที่เมืองตันตงเลยดีกว่า เมืองนี้มีประวัติศาสตร์ครับ
คือ เป็นเมืองหน้าด่านตอนที่ญี่ปุ่นเข้ามายึดครองเกาหลี แล้วญี่ปุ่นก็สร้างสะพานคู่เหนือแม่น้ำยารูเจียง เชื่อมพื้นที่ระหว่างจีนกับเกาหลี ตอนนี้เหลืออยู่สะพานเดียวแล้ว อีกสะพานหนึ่งโดนอเมริกันมาทิ้งระเบิดสมัยที่มีการรบแบ่งแยกดินแดนระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ทุกวันนี้จึงเรียกกันว่าสะพานขาด
หลังจากนั่งรถยนต์จากเสิ่นหยางมาถึงเมืองตันตง เราพักที่เมืองนี้คืนนึง วันรุ่งขึ้นก็นั่งรถไฟข้ามสะพานที่ยังหลงเหลืออยู่ เพื่อไปที่เมืองเปียงยาง ใช้เวลา 5 ชั่วโมงครับ แล้วเข้าพักในโรงแรมที่เกือบจะดีที่สุดของเปียงยาง ข้างในมีโบว์ลิง มีกาสิโน เป็นโรงแรมที่คนจีนไปลงทุนให้เกาหลีเหนือ
คนเกาหลีเหนือค่อนข้างเกรงใจคนจีนครับ ตั้งแต่สมัยที่จีนให้ความช่วยเหลือในด้านการสู้รบกับเกาหลีใต้ จนมาถึงปัจจุบันที่ให้ความช่วยเหลือในด้านเศรษฐกิจ พอดีว่าทริปนี้เรามีคนจีนร่วมคณะไปด้วย ก็เลยโชคดีที่ทำให้ความเข้มงวดในการตรวจตรานักท่องเที่ยวน้อยลง อย่างเช่นเรื่องการถ่ายภาพ ถึงแม้ว่าทางการเกาหลีเหนือจะห้ามถ่ายภาพบางสถานที่ แต่คนจีนไม่ค่อยสนใจข้อห้ามครับ อาซิ้มที่ไปกับเรา แกยกกล้องถ่ายภาพไปเรื่อย เราเลยพ่วงไปด้วย (หัวเราะ) แต่ถ้าเป็นฝรั่ง จะมีตำรวจลับประกบตลอด ทำให้ถ่ายภาพได้ยาก อีกอย่างคือเราหน้าตาคล้ายจีนด้วย ก็เลยสบายไป
:: บรรยากาศในการเที่ยวเกาหลีเหนือเป็นยังไงคะ ::
ดีครับ ถ้าอ่านหนังสือที่อเมริกันเขียนไว้ จะรู้สึกว่าประเทศนี้ค่อนข้างน่ากลัว มีตำรวจลับคอยติดตาม....อะไรอย่างนี้ แต่จริงๆ แล้วก็ไม่น่ากลัวขนาดนั้น ตำรวจที่มากับเราเป็นเด็กสาวน่ารัก ซึ่งจริงๆ ก็มาควบคุมดูแลเรานั่นล่ะ (หัวเราะ) แต่ไม่ได้แต่งชุดขึงขัง บางทีเข้าไปในสถานที่ราชการ เขาก็แต่งชุดประจำชาติ ตลอดเวลาที่อยู่ในเกาหลีเหนือ เจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนนี้ก็จะอยู่กับเรา
ระหว่างทางเราต้องผ่านหลายด่าน เจอทั้งเจ้าหน้าที่ ตม. เจ้าหน้าที่ศุลกากร เจ้าหน้าที่ตำรวจลับ ซึ่งเขาจะตรวจข้าวของของเรา อย่าแสดงตัวว่าเป็นผู้สื่อข่าว เพราะจะถูกเก็บกล้องทันที ในกรณีที่เราเป็นนักท่องเที่ยว แต่ใช้กล้องโปรฯ ก็ต้องมีคำตอบที่ดีให้เขา อย่างผมมีเลนส์ตัวใหญ่หลายตัว เจ้าหน้าที่ก็ถามว่าเอามาทำอะไร ผมบอกไปว่า มาดูอารีดัง ซึ่งสนามที่จัดแสดงนี่ใหญ่มาก เวลาถ่ายภาพจะเห็นคนตัวนิดเดียว จึงจำเป็นต้องใช้เลนส์ขนาดนี้ เจ้าหน้าที่ก็หยิบกล้องไปเล็งๆ ดูว่าถ่ายได้ระยะแค่ไหน แล้วคืนกล้องให้ จะว่าไปแล้ว ชาวเกาหลีเหนือมีสัมมาคารวะนะครับ พอเห็นเราเป็นผู้ใหญ่ก็ให้ความเคารพ ไม่ได้มาตรวจตราอะไรมากมาย
ส่วนทิวทัศน์ระหว่างทางก็มีภาพสวยๆ เช่น ท้องไร่ท้องนา ชีวิตชนบท วัวควายไถนา ชาวนากระเตงลูกไปทำนาด้วย ท้องทุ่งเป็นสีทอง น่าถ่ายภาพครับ ส่วนเวลารถไฟจอดตามสถานี ก็จะเห็นรถขนทหารไปชายแดนจอดอยู่เยอะเลย สภาพรถก็เก๊าเก่า บางทีผุจนทะลุเลย เขาก็ยังใช้อยู่ เทียบกับเกาหลีใต้แล้วไม่ใช่คนละเรื่องนะครับ ต้องบอกว่าคนละโลกเลย ยังไงก็ตาม คนเกาหลีเหนือก็ภูมิใจในชาติของตัวเอง ส่วนใหญ่เขาจะมีเหรียญตราติดหน้าอก ผมคิดว่าเขาอาจเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์มั้งครับ
สำหรับในเมืองที่เราไปเที่ยว ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับผู้นำ สงคราม ความเป็นเกาหลีหนึ่งเดียว เช่น แผนที่ที่เราซื้อเป็นภาพแผ่นดินเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ แต่เขาเขียนชื่อรวมแค่เกาหลีเหนือ เพราะเป้าหมายของเกาหลีเหนือคือเกาหลีหนึ่งเดียว โดยเกาหลีเหนือจะรวมเกาหลีใต้กลับมาเป็นของตัวเอง
สิ่งก่อสร้างในประเทศนี้ใหญ่มากครับ เช่น สนามกีฬาที่ว่าใหญ่มากแล้ว ยังมีตึกตึกหนึ่งที่ใหญ่กว่า สร้างมายี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่เสร็จเลย คนเกาหลีเหนือบอกว่านี่เป็นตึกใหญ่ที่สุดในโลก พอผมบอกเขาว่ามีตึกอื่นใหญ่กว่านี้ เขาก็บอกว่าของเขายังสร้างไม่เสร็จนะ (หัวเราะ)
ส่วนผู้คนก็ดีครับ ยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุขดี เมื่อเขาไม่ได้รับรู้โลกภายนอก ก็ไม่มีการเปรียบเทียบอะไร ทั้งนี้เพราะนอกจากทีวีท้องถิ่นแล้ว ช่องทีวีที่เกาหลีเหนือรับก็มาจากจีน รัสเซีย ประเทศคอมมิวนิสต์ ไม่มีช่องตะวันตกให้ดูเลย
:: นอกจากท่องเที่ยวแล้ว คุณไพศาลยังได้ชมการแสดงอารีดังด้วย ทั้งๆ ที่การแสดงนี้จัดขึ้นปีละครั้งในเดือนสิงหาคม ::
ใช่ครับ ปกติงานอารีรังจัดปีละครั้งในเดือนสิงหาคม แต่ถ้าสมมติว่าเดือนไหนมีนักท่องเที่ยวเยอะ เกาหลีเหนือก็จะจัดพิเศษไปจนถึงเดือนกันยาฯ ตอนผมไปก็คิดว่าไม่มีการแสดงแล้ว เพราะบางปีมี บางปีไม่มี ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน นับว่าโชคดีที่ได้ดู
อารีดังเป็นการแสดงระดับโลก คนแสดงเป็นหมื่น เหมือนการแสดงยิมนาสติกล่ะครับ แต่ยิ่งใหญ่ มีแปรอักษร มีอะไรต่ออะไรเยอะแยะ สวยงามน่าดูมาก
:: ขอย้อนกลับมาเรื่องการเตรียมตัวก่อนไปนะคะ สถานทูตเกาหลีเหนือไม่มีในเมืองไทย แล้วทำวีซ่ายังไงคะ ::
สถานที่ทำวีซ่าอยู่แถวถนนพัฒนาการครับ มีคนเกาหลีเหนือประจำอยู่ เราส่งเอกสารให้เขา แล้วเขาจะเอารูปถ่ายไปแปะที่เล่มวีซ่าต่างหาก ไม่ได้แสตมป์วีซ่าลงในพาสปอร์ตเรา เพราะกลัวว่าคนที่ไปเที่ยวเกาหลีเหนือ กลับมาแล้วจะถูกสอบ ก็เลยตัดปัญหา ทำแยกเล่มไปเลย แต่ใช้แสดงร่วมกับพาสสปอร์ตตอนเข้า-ออกประเทศ เมื่อเราผ่านขั้นตอนการผ่านแดนช่วงขากลับ เจ้าหน้าที่ ตม. จะคืนเฉพาะพาสปอร์ต แล้วเก็บเล่มวีซ่าเกาหลีเหนือไว้ครับ
คุณไพศาลทิ้งท้ายว่า สำหรับทริปเกาหลีเหนือครั้งนี้ ถือว่าเป็นทริปสำรวจ เดินทางกันโดยที่ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อีกไม่นานจะมีการเดินทางสู่เกาหลีเหนืออีกครั้ง และครั้งนั้น เราจะได้รับรู้ประสบการณ์การเดินทางที่น่าสนใจอีกคราว ผ่านการพูดคุยและภาพถ่ายสวยๆ ที่คุณไพศาลบันทึกกลับมา...เช่นครั้งนี้
