
บทสัมภาษณ์
Japan in Autumn
ฤดูใบร่วงเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นมากมายด้วยนักท่องเที่ยว เพราะช่วงนี้คือฤดูกาลที่เต็มไปด้วยสีสันของใบไม้ที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีจากเขียวเป็นเหลือง ส้ม และแดง ไปทั่วทั้งประเทศ ซึ่งการเดินทางเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีนี้ ควรเริ่มจากทางตอนเหนือลงสู่ทางใต้ของญี่ปุ่น เพราะจะได้เก็บเกี่ยวความงามได้อย่างเต็มอิ่มและประทับใจ
คุณไพศาล เจริญจรัสกุล เลือกไปเยือนเกาะฮอนชูในฤดูกาลนี้ โดยเป็นทริปนั่งรถตระเวนชมความงามของธรรมชาติ จากทางเหนือของเกาะฮอนชู คือเมืองอาโอโมริ ลงไปจนถึงเมืองโตเกียว รวมทั้งได้แวะเวียนไปเยือนวัดเก่าแก่ที่ยังคงความงดงามไม่เสื่อมคลาย
:: หลังจากที่คุณไพศาลไปเที่ยวญี่ปุ่นมาหลายครั้งแล้ว ทั้งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งไปดูซากุระบาน และฤดูหนาว ไปฮอกไกโดเพื่อดูนกกระเรียน ครั้งนี้คุณไพศาลไปญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง บรรยากาศเป็นยังไงคะ ::
ต้องขอย้อนไปที่การเดินทางจากเมืองไทยก่อนนะครับ ทริปนี้เราบินจากกรุงเทพฯ ไปที่นาริตะ จากนั้นก็ต่อเครื่องไปอาโอโมริ แล้วมีรถมารับ ทริปนี้เราเริ่มเที่ยวจากทางตอนเหนือของเกาะฮอนชู แล้วล่องลงไปเรื่อยๆ จนถึงโตเกียว ใช้เวลาเกือบสิบวัน พูดง่ายๆ ว่าค่ำไหนนอนนั่น แต่ก็นอนตามที่พักตามโปรแกรมที่ผู้จัดทริปกำหนดไว้นะครับ
ช่วงที่ผมไปคือปลายเดือนตุลาคม ทางเหนือสุดใบไม้ไม่ค่อยสวยแล้ว คือมันเริ่มร่วงจนใกล้จะหมด เราก็คิดว่าทริปนี้คงแย่ มาแล้วไม่ได้เห็นอะไรสวยๆ คือช่วง 2-3 วันแรกไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่พอลงใต้ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มสวยขึ้น
การนั่งรถเที่ยวครั้งนี้ รถเราวิ่งย้อนไปมา ไปทางขวาบ้างซ้ายบ้าง บางอุทยานแห่งชาติที่รถแล่นผ่านนี่ ต้องยอมรับว่าสวยจริงๆ บางทีไกด์ก็ปล่อยให้เราลงเดินจากจุดนึง แล้วรถไปรอรับอีกจุดนึง โดยเส้นทางเดินจะเลาะไปตามลำธาร มีใบไม้เปลี่ยนสีสลับ อย่างเช่น ชาอุซุดาเกะ (Chausudake) ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีเส้นทางเดินชมพรรณไม้ ซึ่งสวยงามมาก
:: ทริปนี้เน้นชมใบไม้เปลี่ยนสีอย่างเดียวเลยรึเปล่าคะ ::
ก็ไม่เชิงครับ เราไปเที่ยววัดเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง ซึ่งคนไทยไม่ค่อยรู้จักด้วย แต่วัดเหล่านั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนญี่ปุ่นอยู่แล้ว เช่น วัดชูซอนจิ (Chusonji) วัดยามาเดระ (Yamadera) ซึ่งทริปนี้ผมประทับใจวัดที่สุด เพราะสวยมาก แต่ละวัดนี่เดินกันสุดลูกหูลูกตาเลยนะ เดินกันจนแบบต้องร้อง ‘โอ้โห’ เราท้อเลย ไม่อยากเดินขึ้นไปแล้ว เพราะมองขึ้นไปตามทางเดินก็มีแต่จะสูงขึ้นๆ บางทางก็ลื่นเพราะตะไคร่ที่เกาะตามหิน
ถึงแม้ทริปนี้ผมเริ่มเห็นคนไทยเที่ยววัดญี่ปุ่นมากขึ้น แต่ถ้าเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวประเภทอื่นๆ ก็ยังนับว่าน้อยมาก เพราะการเที่ยวชมวัดต้องใช้เวลา จึงไม่เป็นที่นิยม คนไทยส่วนมากไปเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวใหญ่ๆ กลับกันกับเรา คือเมืองที่เราไปเป็นเมืองที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งผมคิดว่าดีกว่า เพราะเมืองเล็กๆ มีความเป็นญี่ปุ่นที่ยังไม่ทันสมัยจนเกินไปให้เราได้ชม
นอกจากการเที่ยววัดแล้ว เรายังได้ชิมอาหารท้องถิ่นหลายมื้อ ถือว่าประทับใจมากๆ จะว่าไปแล้ว ทริปนี้คือการเดินทางตามรอยหนังสือซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือชุดเที่ยว 4 ฤดู ที่สนับสนุนโดยการท่องเที่ยวญี่ปุ่น เป็นฉบับภาษาไทย อ่านข้อมูลเล่มนี้แล้วเที่ยวญี่ปุ่นได้โดยไม่ผิดหวัง เพราะสำรวจเส้นทางและแนะนำโดยการท่องเที่ยวญี่ปุ่น หนังสือชุดนี้มีขายที่คิโนะคุนิยะครับ
:: คุณไพศาลได้ไปเดินเที่ยวในเมืองหลักๆ ของเกาะฮอนชูไหมคะ ::
ได้ไปครับ อย่างเซนไดก็โอเคนะ เรารู้กันว่าเมืองนี้โดนสึนามิครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 แต่จุดที่เราไปไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เพราะอยู่ห่างออกมา เราไปพักในเมืองที่อยู่ในจังหวัดเดียวกับฟุกุชิมะ คนขับรถชาวญี่ปุ่นก็ป้องกันเต็มที่ คือใส่หน้ากากอย่างมิดชิดเลย ตอนนอนเขาก็ขอไปนอนเมืองอื่น เพราะภรรยาเขากำชับว่าอย่านอนเมืองนี้นะ เดี๋ยวเป็นหมัน (หัวเราะ) เราก็โอเค บอกเขาไปว่าตามสบาย แต่ตอนเช้าคุณมารับผมก็แล้วกัน
ตามโปรแกรมของคุณไพศาล ซึ่งเริ่มจากอาโอโมริ แล้วนั่งรถลงใต้ไปจนถึงโตเกียว โดยหยุดเที่ยวตามเมืองรายทาง อย่างโทวาดะโกะ, อากิตะ, อิวาเตะ, เซนได, ยามากาตะ ฯลฯ สามารถไปเที่ยวแบบแบ็กแพ็กได้มั้ยคะ?
เส้นทางนี้ไปเองลำบากครับ เพราะบางเมืองใช้เส้นทางถนนเล็ก ซึ่งไม่มีรถเมล์และรถไฟแล่นผ่าน ขนาดเราเช่าเหมารถยนต์ไปเองยังทำเวลาผิดไปเยอะเลย บางวันผิดเวลาไป 2 ชั่วโมง แล้วการไปเที่ยวในเมืองเล็กๆ ก็ต้องมีคนที่สื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ไปด้วย ค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็ค่อนข้างแพง ขนาดเรารวมกลุ่มกันไป 10 คน หารค่าใช้จ่ายกันแล้วยังถือว่าแพง เพราะค่าเช่ารถกับค่าคนขับรถนี่สูงมาก ถ้าจะไปแบ็กแพ็กก็ควรเลือกเมืองที่มีรถไฟแล่นผ่าน จะได้สะดวกและราคาเบาลงมาครับ