
บทสัมภาษณ์
ฟอล์กแลนด์ – แอนตาร์กติกาในมุมของ คุณไพศาล เจริญจรัสกุล
เป็นการเดินทางที่ยาวนานและไกลเกินกว่าครึ่งค่อนโลกสู่ดินแดนไกลโพ้นทะเลในความฝันอย่างหมู่เกาะฟอล์คแลนด์ ดินแดนพิพาทในอดีตของ 2 ยักษ์จากเกาะอังกฤษและอีกยักษ์หนึ่งซึ่งเป็นเจ้าถิ่นอย่างอาร์เจนตินา แถมยังโชคดีเกินกว่าที่ฝันไว้ด้วยการข้ามฝั่งเดินทางต่อไปยังทวีปสุดท้าย ณ ปลายขั้วโลกอย่างแอนตาร์กติกา ซึ่งมีมนุษย์ที่เป็นคนไทยเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่ไดไปสัมผัสกับดินแดนที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งอยู่ตลอดชั่วนาตาปีแบบนี้ มุมมองที่ได้รับจากประสบการณ์ของการเดินทางในครั้งนี้ คุณไพศาล เจริญจรัสกุล จะมาบอกเล่าให้เราทราบกัน
:: เริ่มกันก่อนง่ายๆ เลยที่ฟอล์กแลนด์ครับ ว่าทำไมพี่ถึงได้สนใจไปยังเกาะที่ไกลลิบลับเกือบสุดใต้โลกแห่งนี้ ::
เป็นคำถามที่ดีมากครับ ผมจำได้ว่ารู้จักและได้ยินชื่อของหมู่เกาะแห่งนี้เป็นครั้งแรก ก็ตอนที่เกิดเรื่องราวโด่งดังไปทั่วโลกระหว่าง
อังกฤษกับอาร์เจนตินาที่ต่อมาได้ลุกลามใหญ่โตกลายเป็นสงครามแย่งชิงหมู่เกาะฟอล์คแลนด์กันขึ้นโดยต่างฝ่ายต่างก็อ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของหมู่เกาะตัวต้นเหตุซึ่งมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า หมู่เกาะมัลวีนาส สุดท้ายตกลงกันไม่ได้ก็ต้องใช้กำลังเข้าต่อสู้กันโดยอังกฤษต้องลงทุนลงแรงและกำลังคนมหาศาลในการเดินทางไกลกว่าครึ่งค่อนโลกเพื่อปกป้องเกาะเล็กๆ ซึ่งมีคนอาศัยอยู่ไม่ถึง 3000 คนแห่งนี้
:: เป็นเรื่องของผลประโยชน์หรือเปล่าครับ อังกฤษถึงต้องลงทุนยกกองทัพไปขนาดนั้น ::
ส่วนตัวผมแล้วผมมองว่าเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีมากกว่าครับ ศักดิ์ศรี ( เสียงเน้นย้ำ ) ของความยิ่งใหญ่ ศักดิ์ศรีของความเป็นประเทศมหาอำนาจหนึ่งในโลก เพราะหากพิจารณาในแง่ของที่ตั้งหรือความสำคัญทางยุทธศาสตร์แล้วก็ไม่น่าจะใช่ หรือจะมองในแง่ของประเทศที่สำคัญทางเศรษฐกิจก็ยังคงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับ เพราะรายได้หลักของผู้คนบนเกาะนี้ส่วนใหญ่มาจากการท่องเที่ยว การเกษตร การเลี้ยงสัตว์และก็ประมงครับ
:: บนเกาะมีการสร้างอนุสาวรีย์แห่งสงครามชิงเกาะหรือเปล่าครับ ::
ผมได้ไปยังจุดที่มีการที่สู้รบและปะทะกันด้วย ยังมีเศษซากรถถัง เครื่องบินที่ถูกยิงตกรวมทั้งป้อม-ค่ายที่ถูกทำลายอีกมากมาย ซึ่งเขาปล่อยทิ้งไว้แบบเดิมโดยไม่มีการเข้าไปจัดหรือตกแต่งแต่อย่างใด ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะจะได้เป็นเครื่องเตือนใจว่าสงครามไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันแท้จริงกับใครเลย นอกจากความสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ
:: คราวนี้สลับกลับมาที่ความประทับใจในการไปเยือนเกาะที่อยู่ไกลสุดขั้วแห่งนี้ ::
นอกจากจะชอบในเรื่องของอากาศที่เย็นสบาย อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 17 องศาแล้ว ยังเป็นเกาะที่มีภูมิทัศน์สวยด้วยทุ่งหญ้า
ดอกไม้บนเนินเขา มีวิถีชีวิตที่อิงแอบอยู่กับธรรมชาติอย่างแท้จริง ที่ผมชอบอีกอย่างหนึ่งก็คือกลุ่มก้อนเมฆของที่นี่ ซึ่งมักจะก่อตัวเป็นรูปทรงแปลกๆ อยู่เสมอ บางครั้งก็เป็นเกลียวสูงขึ้นไปเหมือนกับพายุไซโคลน บางครั้งก็กลมๆ แบนๆ ดูคล้ายกับจานบิน หรือ ยู.เอฟ.โอ ก็สวยดีผมถ่ายภาพเก็บไว้เหมือนกันครับ
:: ข้ามฝั่งไปยังแอนตาร์กติกาบ้าง อยู่ในแผนการเดินทางของพี่ในทริปนี้หรือเปล่าครับ ::
( หัวเราะเบาๆ ) ต้องบอกให้ทราบตามตรงเลยว่า นอกจากจะไม่อยู่และไม่มีในแผนการเดินทางของทริปนี้ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว ผมเองยังไม่เคยนึกเคยฝันมาก่อนว่าจะมีโอกาสได้ไปเดินไปเที่ยวทวีปที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งตลอดทั้งปีอย่างนี้ด้วยซ้ำ แต่เมื่อโอกาสมันมาถึงแล้วเราจะปล่อยให้มันผ่านไปได้ยังไง
:: โอกาสที่ว่านั้นคืออะไรครับ ::
( ตอบแบบยิ้มๆ ) พวกผมเดินทางกันไปไกลขนาดนั่งเครื่องบินเป็นวันๆ แล้วค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็ไม่ใช่ถูกๆ และก็ไปจนไกลสุดทวีปอเมริกาใต้นั่นแล้ว หากต้องเดินทางต่อไปอีกนิดจ่ายเงินเพิ่มอีกหน่อยกับการได้ไปเดินเล่น และถ่ายรูปบนทวีปแห่งสุดท้ายของโลกอยู่เกือบครึ่งวัน สำหรับผมแล้วมันเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่และมีค่ามากจริงๆ ครับ ผมจำได้ว่าพอคุณดวงดาว เสนอไอเดียว่า เราน่าจะข้ามฝั่งไปยังแอนตาร์กติกากันนะ จะมีใครสนใจไปกันบ้าง ผมนี่แหละที่ยกมือตอบรับเป็นคนแรกเลย ไม่ทันได้ถามด้วยซ้ำไปว่าจะไปยังไง หรือเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ( หัวเราะ )
:: นอกจากโอกาสจะมาแล้วคว้ามันไว้ แล้วต้องใช้โชคช่วยด้วยไหมครับ ::
การเดินทางไปทวีปแอนตาร์กติกาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะครับ แบบว่าใครมีเงินก็ไปได้เลยไม่ใช่เลยครับ เพราะโอกาสที่จะได้ไปมันน้อยมากต้องดูช่วงจังหวะเวลาดูจากประสบการณ์และติดตามข่าวสภาพดินฟ้าอากาศตลอดเวลา เพราะแอนตาร์กติกามีความผันผวนไม่แน่นอน พร้อมที่จะเกิดลมพายุได้ทุกวินาที ซึ่งเดินทางไปแล้วอาจจะไม่ได้กลับมาอีกก็เป็นได้ เนื่องจากท้องฟ้าปิดเครื่องบินบินกลับไม่ได้ ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับว่าเป็นโอกาส เพราะพอเช็คครั้งสุดท้ายว่าท้องฟ้าเปิดทุกอย่างเป็นใจ ทุกคนก็ตัดสินใจออกเดินทางทันที และยังมีโอกาสดีต่ออีกตรงที่พวกผมได้อยู่กันบนนั้นนานมาก บางคณะที่ไปถึงอยู่ได้กันแค่แป๊บเดียวก็ต้องรีบขึ้นเครื่องกลับเพราะพายุกำลังจะมา ต้องยอมรับครับว่า พวกเราได้โชคช่วยด้วยจริงๆ ครับ
:: ได้ไปเห็นไปสัมผัสกับทวีปน้ำแข็งของจริงแล้วเป็นยังไงบ้างครับ ::
สมัยก่อนเคยฝันไว้ว่าคงจะเต็มไปด้วยน้ำแข็งลูกโตๆ มีเพนกวินกับแมวน้ำเยอะแยะเต็มไปหมด แต่วันนี้แอนตาร์กติกากำลังเปลี่ยนไปด้วยฝีมือคนรุ่นเรา เมื่อก่อนมีแหลมยาวยื่นไปในมหาสมุทรให้เครื่องบินแลนดิ้ง ขึ้น-ลง เดี๋ยวนี้แหลมที่ว่านี้ละลายหายไปเกือบจะหมดแล้วจากภาวะโลกร้อน พื้นที่บางส่วนก็เริ่มละลายกลายเป็นเลนเปียกๆ แฉะๆ ผมโชคดีที่ได้เห็นภาพของมนุษย์ทำร้ายโลกทำร้ายธรรมชาติแบบชัดเจนก็ที่นี่แหละครับ
