top of page

บทสัมภาษณ์

บอตสวานา ซาฟารีที่แท้จริง

 

      ต่อเนื่องจากการเดินทางไปเยือนน้ำตกวิกตอเรียในเขตประเทศแซมเบีย คุณไพศาล เจริญจรัสกุล เดินทางต่อไปยังประเทศบอตสวานา ซึ่งมีแนวเขตแดนติดต่อกัน เพื่อสัมผัสอีกรูปแบบหนึ่งของการท่องเที่ยวท่ามกลางพื้นที่ชุ่มน้ำระดับโลกและทะเลทรายแสนกว้างใหญ่ โดยนักสำรวจโลกของเราเอ่ยปากว่า “นี่คือซาฟารีที่แท้จริง”

      จะเป็นอย่างไรนั้น ต้องฟังจากคำบอกเล่าถึงประสบการณ์น่าจดจำครั้งนี้ด้วยกัน

 

 :: ออกจากน้ำตกวิกตอเรียแล้ว คุณไพศาลเดินทางไปบอตสวานายังไงคะ ::

      ผมนั่งรถไปครับ จากน้ำตกวิกตอเรียใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว เราก็นั่งเรือข้ามแม่น้ำไปขึ้นฝั่งบอตสวานา ที่นั่นมีเจ้าหน้าที่ของบริษัททัวร์อีกรายเอารถมารอรับเราอยู่แล้ว เป็นรถพราโดดัดแปลงที่พร้อมจะพาพวกเราลุยไปในจุดไฮไลต์ของบอตสวานาเป็นเวลา 14 วัน มีลิฟต์สำหรับยกรถเข็นคนพิการและรถเข็นคนแก่ด้วย แสดงถึงความใส่ใจของเขาจริงๆ

      การเที่ยวครั้งนี้ เรานั่งรถแล้วแวะพักตามแหล่งธรรมชาติไปเรื่อยๆ โดยเดินทางจากเหนือลงใต้ จุดแวะสุดท้ายคือเมืองเมา (Maun) ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางการเดินทางในบอตสวานา ที่เมืองเมานี่เราไม่ได้ไปเที่ยวไปเที่ยวที่ไหน เพียงแค่กลับมาพักเพื่อขึ้นเครื่องกลับโจฮันเนสเบิร์กเท่านั้นเอง ถ้าบินตรงจากโจฮันเนสเบิร์กมาที่บอตสวานา ลงที่เมืองเมาจะดีที่สุดครับ

 

 :: ซาฟารีครั้งนี้ คุณไพศาลได้เข้าไปเที่ยวในแหล่งธรรมชาติระดับโลกทั้งนั้น สำหรับที่โชเบ (Shobe) ซึ่งเป็นสถานที่แรกที่คุณไพศาลไปถึง บรรยากาศเป็นยังไงคะ ::

      จุดเด่นของโชเบคือมีฝูงควายป่า ช้าง ฮิปโปฯ เยอะมาก ว่ากันว่าจำนวนช้างที่โชเบมีเยอะที่สุดในโลก ข้อมูลที่ผมได้มาคือทวีปแอฟริกามีช้างทั้งหมดราวๆ 400,000 ตัว เฉพาะที่โชเบแห่งเดียวก็มีมากถึง 140,000 ตัวแล้ว การเดินทางของเราทุกๆ 5 กิโลฯ 10 กิโลฯ จะเจอช้างเป็นฝูง ฝูงละประมาณ 20-30 ตัว แต่ส่วนใหญ่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับเรา ได้เห็นช้างในระยะใกล้กว่านั้นก็ตอนที่เราล่องเรือเข้าไปใกล้ๆ ริมฝั่งน้ำจะมีช้างว่ายน้ำและเล่นน้ำเป็นฝูงใหญ่เลยทีเดียว

      ช้างในบอตสวานาอาศัยอยู่ตามบึงในเขตชุ่มน้ำช่วงฤดูฝน ซึ่งน้ำเยอะ แต่พอหน้าแล้ง น้ำแห้ง ช้างก็จะอยู่ตามทะเลทราย ความน่าประทับใจคือ ถ้าถ่ายภาพทางอากาศลงมา เราจะเห็นภาพฝูงช้าง ฝูงสิงโต อยู่ตามบึง ซึ่งเป็นเรื่องแปลก เพราะปกติพวกมันจะอาศัยอยู่ตามทุ่ง

 

 :: ออกจากโชเบ คุณไพศาลเดินทางต่อไปที่โอกาวังโก (Okavango) เลยใช่ไหมคะ ::

      ครับ เพราะมันเป็นพื้นที่ติดต่อกัน จากเซาท์เทิร์นโชเบ เราเลาะเข้าไปในโอกาวังโก ซึ่งเป็นเขตชุ่มน้ำที่มีชื่อเสียงในเรื่องของสัตว์ป่าที่อยู่ในน้ำ หรืออาศัยอยู่ตามบึง สัตว์ป่ามีความหลากหลายมากกว่าโชเบ ส่วนใหญ่เป็นสิงโต เสือ ชีตาห์ กวาง หมาป่า หมาจิ้งจอก นกสวยๆ ก็มีเยอะครับ

      เรานั่งรถเข้าไปแล้วลงเรือต่อ จากนั้นจึงล่องเรือไปพักบนเกาะกลางบึงน้ำ ซึ่งที่พักของเราเป็นกึ่งเต็นท์ คือข้างบนเป็นผ้าใบคลุมส่วนตัวอาคารเป็นไม้ การพักในรูปแบบนี้ ในพื้นที่นี้ มีกฎห้ามออกนอกบริเวณตอนกลางคืน เพราะมีฮิปโปฯ เดินเพ่นพ่านเยอะแยะ มีจระเข้ด้วย

      โอกาวังโกมีชื่อเสียงในด้านการล่องเรือไปตามเขตชุ่มน้ำ ดูฮิปโปฯ ดูจระเข้ รวมทั้งดูสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่บนฝั่ง เจ้าหน้าที่บริษัททัวร์จะพาเราไปดูสุนัขป่าล่ากวาง เหมือนเป็นเกมอย่างหนึ่งน่ะครับ เขารู้ว่าทุกเช้าสุนัขป่าต้องออกจากที่ซ่อน ข้ามแม่น้ำ เพื่อมาไล่ล่ากวาง ภาพที่ได้เห็นก็ค่อนข้างน่าตื่นเต้น ผมเห็นฝูงสุนัขป่าวิ่งไล่ล่ากวาง มันทำงานเป็นทีม นึกถึงคำเปรียบเปรยว่า ‘หมาหมู่’ แล้วมันใช่จริงๆ เชื่อมั้ยครับว่ากวางตัวเป็นๆ ที่เราเห็นวิ่งหนีสุนัขป่าอยู่นั่น หลังจากถูกล่าล้มลง ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีก็เหลือแค่ซากแล้ว

      สำหรับเรือล่องแม่น้ำ ลำนึงจะนั่งได้ประมาณสิบคน ถือว่าค่อนข้างปลอดภัยจากการโจมตีของฮิปโปฯ แต่ถ้าเป็นเรือคายัคนี่อันตราย เพราะมีข่าวว่าฮิปโปฯ ทำร้ายนักท่องเที่ยวที่นั่งเรือคายัคอยู่บ้างครับ

 

 :: ในส่วนของการเที่ยวทะเลทรายคาลาฮารี (Kalahari) ล่ะคะ มีเรื่องน่าประทับใจยังไงบ้าง ::

      ทะเลทรายคาราฮารีมีขนาดกว้างใหญ่มาก กินพื้นที่หลายประเทศ คือ บอตสวานา นามิเบีย แอฟริกาใต้ และซิมบับเวีย ในบริเวณนี้เราได้เห็นสิงโตที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย โดยมันจะอยู่ตามร่มไม้คล้ายโอเอซิสน่ะครับ บางทีเราก็ไปพักกางเต็นท์ในแหล่งของสิงโต เช้าๆ ตื่นมานี่จะเห็นรอยเท้าสิงโตใกล้ๆ แคมป์ของเราด้วย

      ส่วนตอนกลางคืนจะเห็นสุนัขป่าวิ่งไล่ไฮยีนา รวมทั้งได้ยินเสียงสิงโตคำราม ก็กลัวเหมือนกันครับ (หัวเราะ) แต่ถ้าเราไม่ออกจากเต็นท์ก็ไม่เป็นไร นอกจากสิงโต สุนัขป่า ยังมีเสือดาวและสัตว์ป่าอีกเยอะแยะ ถือว่ามีความหลากหลายดีทีเดียว

      เต็นท์พักของเราเป็นผ้าใบ แต่ไม่เคยปรากฏข่าวว่ามีสิงโตทำร้ายนักท่องเที่ยวนะครับ สิ่งที่ทำให้อุ่นใจขึ้นบ้าง คือเจ้าหน้าที่บริษัททัวร์จะตั้งเต็นท์ห่างจากเราไปไม่เท่าไหร่ คล้ายเป็นเต็นท์คุ้มกันน่ะครับ

      สำหรับพื้นที่กางเต็นท์มีเฉพาะกลุ่มของเรา เมื่อเก็บเต็นท์เรียบร้อยก็จะดูไม่ออกเลยว่าเคยมีเต็นท์ตั้งอยู่มาก่อน ในเรื่องของน้ำกิน น้ำใช้ เจ้าหน้าที่ยกถังน้ำใส่รถบริการมาด้วยครับ เวลาตั้งแคม์ป เขาจะต้มน้ำให้เราอาบอุ่นๆ นอกจากนี้ รถบริการยังมีตู้เย็นไว้แช่อาหาร เมื่อไปถึงแต่ละเมือง เจ้าหน้าที่จะซื้ออาหารใส่ไว้

      เรื่องห้องน้ำก็สะดวกสบาย เพราะมีเต็นท์ห้องน้ำ มีส้วมค่อนข้างดี ไม่มีกลิ่นครับ เพราะหลังการใช้งาน เราจะปั๊มน้ำยาเพื่อดับกลิ่น พูดได้ว่าสะดวกสบายไม่แพ้ห้องน้ำที่บ้านเลย

      ในเรื่องของอากาศแถบทะเลทราย ตอนกลางวันนับได้ว่าสบายๆ ไม่ร้อน แต่ตอนกลางคืนหนาวมาก โดยอุณหภูมิตอนกลางวันและกลางคืนต่างกันประมาณ 10 องศาเซลเซียสน่ะครับ

 

 :: ออกจากทะเลทรายคาลาฮารี มีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกไหมคะ ::

      แพนแฮนเดิล (Panhandle) น่าสนใจครับ มันตั้งอยู่ในใจกลางของคาลาฮารี สภาพพื้นที่เป็นท้องกระทะ เป็นแอ่งเก็บน้ำ ที่นี่เราได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวพื้นเมือง พวกเขายังแต่งตัวแบบชนเผ่าแท้ๆ น่าสนใจครับ

      นอกจากชุมชนชนเผ่า เรายังได้ไปที่ศูนย์พักฟื้นสิงโตและสุนัขป่า ที่นี่เป็นที่รวมของสิงโตกับสุนัขป่าที่บาดเจ็บจากการล่า หรือถูกทำร้ายโดยมนุษย์และสัตว์ป่าด้วยกันเอง เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ จะนำสัตว์ป่าบาดเจ็บมาพักฟื้นที่นี่ พอหายแล้วก็นำไปส่งคืนป่า

      เรานั่งรถเข้าไปในกรงขนาดใหญ่ที่เขากันไว้ให้สัตว์อยู่ แต่สำหรับกรงสุนัขป่า เราเดินเข้าไปครับ ก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน คนนำชมบอกว่าห้ามแตกกลุ่ม ไม่อย่างนั้นฝูงสุนัขป่าจะกรูเข้ามาทำร้ายทันที

      กรงสิงโตก็ได้เข้าครับ แต่ว่านั่งรถเข้าไป น่ากลัวเหมือนกัน เพราะถ้ามันโดดขึ้นมาล่ะก็...ถึงตัวรถเลยครับ

 

 :: คุณไพศาลบอกว่าทริปนี้เป็น ‘ซาฟารีจริงๆ’ เพราะอะไรคะ ::

      มันเป็นการท่องเที่ยวแบบไวลด์ไลฟ์ แท้ครับ ผมเปรียบเทียบกับเคนยา ที่นั่นค่อนข้างจัดฉากต้อนรับนักท่องเที่ยว และเป็นที่ที่เจริญแล้ว สำหรับมือใหม่เริ่มเที่ยวซาฟารี น่าจะเริ่มที่เคนยาก่อน เพราะถ้ามาที่บอตสวานา อาจรับไม่ได้ เพาะมันดิบเกินไป

      ผมประทับใจทริปนี้ เพราะได้อยู่แบบไม่มีความศิวิไลซ์ ใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่ก็มีความสุขมากครับ

© 2018 by Truenaturephotos. All Rights Reserved

bottom of page