top of page
Misty Woodland

ดวงดาว สุวรรณรังษี

บทความ

หยวนหยางมหัศจรรย์แห่งยูนนาน

คุณดวงดาว สุวรรณรังษี...เรื่อง

คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...ภาพ

      นับเป็นเรื่องน่าทึ่งอย่างยิ่งที่แผ่นดินแห่งนี้จะมีสถานที่งดงามน่ามหัศจรรย์ได้มากถึงเพียงนี้ เพราะเมื่อสิบปีที่แล้วเราพบว่ามณฑลยูนนานไม่เพียงมีสวนหินและเมืองมรดกโลกลี่เจียงเท่านั้น ดินแดนทางตอนเหนือที่ติดต่อกับทิเบตยังงดงามราวสวรรค์บนดินจนได้รับสมญานามว่าแชงกรีลา จนมาถึงปีสองปีที่แล้วก็มีคำร่ำลือถึงผืนนาขั้นบันไดอันยิ่งใหญ่ไพศาลบนขุนเขาด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองคุนหมิง ทำให้เราต้องหาโอกาสไปพิสูจน์ด้วยสายตาตัวเองเมื่อต้นปีนี้เอง และพบว่าขั้นบันไดที่หยวนหยางแห่งนี้คือสิ่งมหัศจรรย์ระดับโลกอีกแห่งหนึ่งที่ควรค่าแก่การไปชมให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต

เมืองโบราณและบ้านตระกูลซู

      การเดินทางของเราเริ่มที่คุนหมิง นครหลวงของมณฑลยูนนาน บ่ายหน้าไปทางทิศใต้ใช้เวลาราวสามชั่วโมง บนทางหลวงที่ดีเกินความคาดหมาย ต่างกับหลายปีก่อนที่นักเดินทางต่างต้องเตรียมตัวเตรียมใจกับการเดินทางในเมืองจีนกันเป็นพิเศษ เมื่อเรามาถึงเมืองและที่พักเราก็พบว่ากำลังเดินทางย้อนยุคไปในรอยต่อของความเจริญกับชุมชนชนบทโบราณของเมืองเจี้ยนสุ่ย (Jianshui) ซึ่งยังมีประตูเมืองเก่าตั้งตระหง่านบนถนนสายหลัก และเมื่อรถบัสเล็กของเราเลี้ยงซอกแซกเข้าไปในซอยเล็ก แล้วไปจอดในกำแพงบ้านที่แตกต่างจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง

“ที่นี่คือสวนของตระกูลซู เป็นทั้งพิพิธภัณฑ์เปิดให้เยี่ยมชมและเป็นโรงแรมที่พักของเราในคืนนี้ด้วย”

      วันชัย ไกด์ของเราบอกเล่าให้เข้าใจต่อจากข้อมูลที่เล่าให้ฟังถึงความเก่าแก่ของเมืองเจี้ยนสุ่ย ซึ่งเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์เก่าแก่ของมณฑลยูนนาน เมืองนี้เดิมชื่อเมืองหลินอาง มีความสำคัญในฐานะเป็นศูนย์กลางการเมือง การค้าและวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยราชวงศ์ถัง เมืองนี้ถึงกับได้ชื่อว่าเป็นเมืองนักปราชญ์ ด้วยมีผู้สอบได้จอหงวนกันอย่างมากมายและถ้าจะดูความรุ่งเรืองด้านศิลปวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวเมืองนี้ ก็คงจะดูได้จากสวนของตระกูลซู (Garden of Zhu Family) แห่งนี้นี่เอง

      บ้านตระกูลซูเป็นอาคารทรงจีนเชื่อมโยงกันราว 5,000 ตารางเมตร สร้างบนพื้นที่กว้างขวางถึง 20,000 ตารางเมตร ในสมัยราชวงค์ชิงเจ้าของบ้านคือคหบดีนาม Zhu Weiqing เหตุที่เรียกว่าสวนของตระกูลซูก็เนื่องด้วยในบ้านจะมีสระบัว ลานบ้านเป็นสวนดอกไม้ อาคารส่วนต่างๆ มีทั้งห้องโถง หอศิลปะ ห้องเย็บปักถักร้อย โรงละคร ห้องบูชาบรรพชน และอื่นๆแต่ละห้องส่วนใหญ่จะมีประตูบานเฟี้ยมแกะสลักเป็นลายฉลุอย่างงดงาม กล่าวกันว่าในอดีตตระกูลซูมักจะเชื้อเชิญบรรดาจอหงวนมาพบปะสังสรรค์จิบน้ำชาและดื่มสุราพูดคุยกันเรื่องการเมืองและบทกวีท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง  ในยามค่ำคืนจะเชิญศิลปินมาขับร้องบรรเลงเพลงและร่ายรำที่โรงละครในบ้าน ทุกวันนี้อาคารบางส่วนของสวนตระกูลซูถูกดัดแปลงเป็นโรงแรม มีห้องพัก ห้องน้ำทันสมัย เตียงเป็นตั่ง ตกแต่งแบบจีนโบราณ แม้จะไม่หรูหราแต่เต็มไปด้วยกลิ่นอายย้อนยุคแถมในตู้ยังมีเสื้อคลุมจีนแบบโบราณไว้ให้แขกผู้มาพักสวมใส่เข้ากับบรรยากาศของการพักในบ้านโบราณของตระกูลซู

      ยิ่งกว่านั้นคือหลังอาหารค่ำเรามีนัดจะออกไปชมการแสดงที่โรงละครในซอยหลังบ้านนี่เอง ภายในเป็นห้องโถงมีเวทียกพื้นอยู่ตรงกลางห้อง ผู้ชมแถวหน้านั่งเก้าอี้จิบน้ำชาและของขบเคี้ยวต่างๆให้ความรู้สึกเหมือนชมการแสดงในบ้าน ซึ่งมีทั้งการขับร้องและการเต้นรำพื้นเมืองต่างๆ ทำให้ผู้มาเยือนได้ย้อนกลับมาสู่บรรยากาศเก่าๆของเมืองเจี้ยนสุ่ย

ทุ่งดอกมัสตาร์ดและน้ำตกเก้ามังกร

      เส้นทางท่องเที่ยวสายนี้เป็นที่รู้จักกันดีหลายปีแล้ว และถือว่าเป็นน้ำตกสายใหญ่อยู่ชายแดนที่ใกล้กับมณฑลกุ้ยโจว ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการมาเยือนควรเป็นระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นมีนาคม เพราะดอกมัสตาร์ดหรือดอกอิ๊วไช่ฮัวสีเหลืองอร่ามจะบานสะพรั่งตลอดสองข้างทางโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมืองโหลวผิง (Luoping) ซึ่งเราเดินทางไปพักครั้งนี้จะมีจุดชมวิวที่ภูเขาไก่ทองซึ่งตั้งอยู่ริมถนนนอกเมืองออกไปราว 2 กิโลเมตร บริเวณนี้จะมีเนินเขาน้อยใหญ่รูปทรงแปลกๆผุดขึ้นกลางท้องทุ่งนาที่ปลูกดอกมัสตาร์ดมากมายสุดสายตา ควรมาชมในเวลาเย็นจะได้เห็นทุ่งดอกไม้เป็นสีทองอร่าม

      ขณะเดียวกันคนเลี้ยงผึ้งจากทั่วประเทศต่างก็มุ่งหน้ามายังโหลวผิงเพื่อนำรังผึ้งซึ่งเป็นลังไม้มาเลี้ยงบริเวณนี้ เพื่อให้ผึ้งได้ดูดกินน้ำหวานของเกสรดอกมัสตาร์ด พร้อมทั้งมีผลิตภัณฑ์จากน้ำผึ้งขายให้กับนักท่องเที่ยวด้วย แต่ถ้ามาช่วงที่ไม่มีดอกมัสตาร์ดก็น่าจะมาชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าท่ามกลางสายหมอกที่ปกคลุมทุ่งหญ้าและเนินเขาน้อยใหญ่

      ต่อจากการชมทิวทัศน์ภูเขาไก่ทองก็มุ่งหน้าไปน้ำตกเก้ามังกร (Jiulong) สายน้ำตกใหญ่แห่งมณฑลยูนนาน ซึ่งห่างจากโหลวผิงราว 22 กิโลเมตร การเข้าไปชมน้ำตกสะดวกสบายมากโดยการ

china_yuanyang_02.JPG
china_guizhou_08.jpg

ขึ้นเคเบิลคาร์ไปยังจุดชมวิวซึ่งจะมองเห็นแม่น้ำเก้ามังกรตลอดทั้งสายที่ยาว 4 กิโลเมตร แล้วค่อยเดินลงไปชมน้ำตกชั้นต่างๆซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 10 ชั้น แต่ละชั้นก็แตกต่างกันออกไป มีชั้นที่ใหญ่ที่สุดอยู่ 2 ชั้น ชั้นแรกสูงราว  56 เมตร และกว้างถึง 112 เมตร น้ำตกชั้นนี้มีชื่อเรียกว่า  Sacred Dragon ด้านล่างเป็นแอ่งน้ำกว้างใหญ่สีเขียวมรกต ชาวบ้านจึงทำแพไม้ไผ่ไว้นำนักท่องเที่ยวถ่อเข้าไปยังสายน้ำตกได้ ส่วนน้ำตกอีกสายหนึ่งเป็นสายน้ำสองเส้นคู่กันเรียกว่าน้ำตกคู่รัก (Lover) อยู่ด้านบนสุด สำหรับชั้นล่างสุดซึ่งมีทางเดินข้ามสายน้ำกลับออกไปยังที่จอดรถจะมองเห็นน้ำตกชั้น Sacred Dragon และน้ำตกชั้นที่คั่นกลางเป็นภาพพานอรามาที่งดงามมากที่สุดอีกจุดหนึ่ง ก็เป็นอันว่าได้ชมน้ำตกเก้ามังกรกันโดยครบถ้วน

มหัศจรรย์นาขั้นบันไดหยวนหยาง

      เพียงคำกล่าวขานถึงนาขั้นบันไดที่หยวนหยางพร้อมกับภาพอันน่าทึ่งที่เผยแพร่ออกมาเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ทำให้เราติดตามสอบถามข้อมูลจนรู้แน่ว่าช่วงที่ดีที่สุดสำหรับการมาชมนาขั้นบันไดคือเวลาที่ชาวนาปล่อยน้ำเข้านาเต็มที่ตั้งแต่เดือนธันวาไปจนถึงเดือนมีนาคม เมื่อแสงสาดส่องลงมาทั้งในยามอาทิตย์ขึ้นและตกจะทำให้นาขั้นบันไดงดงามยิ่งขึ้น ดังนั้นพวกเราจึงวางแผนที่จะเดินทางมาหยวนหยางในช่วงต้นมีนาคม หยวนหยางตั้งแต่อยู่บนเทือกเขาอ้ายลาว (Ailao) ส่วนหนึ่งของแนวเทือกเขาหยุนหลิง (Yunling) ซึ่งมียอดสูงถึง 3,165 เมตรจากระดับน้ำทะเล ยอดเขาสูงนี่เองที่ทำให้ฝนตกชุก ทั้งยังเป็นต้นกำเนิดสายน้ำลำธารมากมายในช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ร่วงอากาศจะหนาวเย็นและปกคลุมด้วยสายหมอก

      บนเทือกเขาอ้ายลาวนี้มีชนเผ่าอาศัยอยู่มากมาย นับจากชาวไตที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอันอุดมสมบูรณ์ ชาวเย้าที่ชอบอยู่ในหุบเขามักปลูกผลไม้และสมุนไพร ส่วนชาวแม้วขึ้นมาอยู่บนภูเขา เช่นเดียวกับชาวหยีและชาวฮาหนีที่อพยพมาอยู่บนภูเขาอีกด้านหนึ่ง ย้อนหลังไปในสมัยที่บรรพบุรุษชาวฮาหนีเข้ามาบุกเบิกทำนาในพื้นที่นี้ตั้งแต่สมัยราชวงค์ถังเป็นเวลามากกว่า 1,200 ปีมาแล้วที่พวกเขาทุ่มเทแรงกายแรงใจไปในการบุกเบิกการขึ้นไปทำนาบนภูเขา โดยขุดสร้างร่องระบายน้ำบนภูเขานับได้เกือบ 5,000 สาย ทดน้ำจากป่าไม้บนยอดเขาลงมาหล่อเลี้ยงที่นาราว 170,000 ไร่ เกษตรกรชาวฮาหนีกว่า 30,000 คน อาศัยภูมิปัญญาและความอุตสาหะที่สืบทอดจากบรรพบุรุษกันมาหลายชั่วคนจากนาผืนเล็กผืนน้อยก็ต่อกันเป็นผืนใหญ่ ครอบคลุมจากเชิงเขาขึ้นไปถึงยอดเขา สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรจากทั่วโลกที่เข้ามาดูงาน ด้วยมันเป็นผลงานที่ผสมผสานการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำเพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืนนาขั้นบันไดของชาวฮาหนีที่หยวนหยางกลายเป็นภูมิทัศน์งดงามยิ่งใหญ่ตระการตา ทั้งยังถือได้ว่าเป็นนาขั้นบันไดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังอยู่ระหว่างการประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมด้วย

china_guizhou_25.jpg

      เมื่อเดินทางมายังเมืองเก่าหยวนหยางหรือ Xinje ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาจะพบว่าจุดที่สามารถมองเห็นนาขั้นบันไดอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมือง ครอบคลุมเนินสูงอันสลับซับซ้อนตั้งแต่ระดับ 144 เมตรสูงขึ้นไปถึง 2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ดังนั้นพวกเราจึงมาพักแรมที่หยวนหยางเก่าเพื่อจะเดินทางไปชมนาขั้นบันไดได้โดยสะดวกกว่าที่เมืองใหม่ ณ เชิงเขาด้านล่าง

      บรรยากาศในเมืองเก่านี้คึกคักในยามเช้า ย่านประตูเมืองเก่ามีประตูลงไปยังตลาดที่ชาวฮาหนีแต่งกายแบบพื้นบ้าน แบกตระกร้ามาจับจ่ายใช้สอย มองจากภายนอกแล้วชาวฮาหนีแต่งตัวคล้าย

กับแม้วบ้านเรามากทีเดียว บรรยากาศในตลาดมีร้านขายก๋วยเตี๋ยว เต้าหู้ย่าง ปาท่องโก๋ตัวใหญ่ๆ ยาวๆ รับประทานกับน้ำเต้าหู้ บ้างก็มีขนมคล้ายแป้งจี่ ทำเป็นแผ่นกลมๆ แบนๆ ย่างในกระทะร้อนๆ ส่วนผลไม้ที่ออกมากในช่วงเวลานี้มีส้มรสชาตหวานอมเปรี้ยว เมื่อเราเดินทางมาเข้าเมืองหยวนหยางก็ต้องลองรับประทานอาหารพื้นบ้านกันอีกสักหน่อย ผลก้คือหลังถ่ายภาพตลาดออกมาแล้วมือและปากมันแผล่บ

      จากจุดชมนาขั้นบันไดจุดหลักอีกแห่งหนึ่งซึ่งเหมาะที่จะชมพระอาทิตย์ตกในยามเย็นเรียกกันว่า เหลา ฮู ซุ่ย (Lao Hu Shui) บ้างก็เรียกว่านาปากเสือ ตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองหยวนหยางเก่าราว 23 กิโลเมตร เมื่อรถแล่นเข้าไปใกล้จะเริ่มเห็นนาขั้นบันไดอยู่ข้างทางซึ่งเป็นไหล่เขาลาดลงไป จนรถแล่นผ่านจุดชมวิวที่สร้างลานล้อมรั้วเป็นแนวยาวไปจนถึงลานจอดรถก็เป็นอันว่าใช่จุดชมวิวแห่งนี้ ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวและช่างภาพอย่างมาก จนทางการให้สัมปทานเอกชนสร้างสิ่งอำนวยวามสะดวกบนเนินเขาพร้อมทั้งเก็บค่าเข้าไปในลานซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามในหุบเขาของท้องนาราว 3,000ไร่ เต็มไปด้วยเส้นสายและลวดลายราวกับงูนับพันนับหมื่นกำลังเลื้อยไหลอยู่ในสายน้ำที่ส่องประกายสะท้อนแสงระยิบระยับทว่านั่นก็เป็นจุดที่อยู่สูงและห่างไกลมาก เราจึงกลับมาสู่จุดชมวิวนี้อีกครั้งเพื่อจะเดินลงไปตามทางในหมู่บ้านบริเวณลานจอดรถซึ่งต่ำลงไปอีกราว 500 เมตร ขาลงไม่กระไร ขากลับเหนื่อยหน่อยแต่มีเด็กผู้หญิงชาวฮาหนีมาอาสารับจ้างแบกกระเป๋ากันมากมายแถมยังบริการหาจุดให้นั่งเฝ้ารอแสงอาทิตย์อัสดงเป็นอย่างดีก็ถือว่าทั้งสองแห่งคือจุดชมวิวด้านบน และจุดด้านล่างที่น่ามาถ่ายภาพทั้งสองจุด สองวัน เลยทีเดียว

      ภาพนาปากเสือปรากฏชัดเจนขึ้น มองไปมองมากลับคล้ายม้าลายมากกว่า ทว่ากองทัพงูยังเลื้อยไปเลื้อยมาในหุบผานาขั้นบันได สิ่งที่เรายังติดค้างอยู่ก็มีเพียงแสงอาทิตย์ที่ลับหายไปก่อนจะสร้างสีสันงดงาม แต่เรายังมีความหวังสำหรับวันพรุ่งนี้ที่จุดชมพระอาทิตย์สำคัญอีกแห่งหนึ่งของหยวนหยาง

      จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามที่สุดอีกจุดหนึ่งคือ ตัว อี่ ชู (Duo Yi Shu) ต้องนั่งรถออกไปจากที่พักอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงช่วงเดือนมีนาคมพระอาทิตย์จะขึ้นประมาณตีห้า เร็วกว่าช่วงฤดูหนาวเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ซึ่งพระอาทิตย์ขึ้นราวหกโมงเช้า แต่สำหรับช่างภาพแล้วยิ่งต้องไปถึงเช้ากว่านั้น คือก่อนพระอาทิตย์ขึ้นราว 15 นาที ด้วยจะเป็นช่วงที่แสงสีจะปรากฏอย่างสวยงาม

      ทว่าเช้าวันนั้นเกิดเหตุการณ์ลุ้นระทึกด้วยโรงแรมปลุกสายแถมช่วงนี้ถนนจะปิดซ่อมเป็นบางเวลา รถทัวร์แทบทุกคันต่างมุ่งหน้าไปยังที่ปากทางเข้าและวิ่งแข่งกันจนฝุ่นตลบ แต่เราก็ไปถึงจุดชมวิวขณะที่ฟ้ายังมืดอยู่ จึงต้องใช้ไฟฉายส่องหาทางลงเพราะจุดชมวิวเป็นเนินลาดลง และจุดชมวิวด้านบนก็เต็มไปด้วยช่างภาพที่มาตั้งขากล้องอยู่ก่อนแล้ว เราจึงขยับลงไปด้านล่างซึ่งขณะนั้นยังสร้างลานชมวิวไม่เสร็จคาดว่าปลายปีนี้ทุกอย่างคงเรียบร้อย

      ตั้งกล้องเสร็จก็พอดีแสงก็เริ่มออกสีเรื่อเรือง ภาพในหุบเขาแนวพานอรามาก็ปรากฏขึ้นทีละน้อย ผืนนาถึง 6,000 ไร่ในหุบเขามีเส้นสาย

คันนาอันโค้งไปโค้งมากับเสงสีที่ส่องกระทบแผ่นน้ำเปรียบเสมือนกระจกเงา สร้างภาพวิจตรเกินคำพรรณนาเหนือกว่าทุดภาพที่เราเคยเห็นมาก่อน นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งใหม่ ซึ่งชาวฮาหนีได้เนรมิตรให้ควรค่าแก่การเดินทางมาชมสักครั้งหนึ่งในชีวิตเป็นอย่างน้อย

      ช่วงเวลานั้นทุกสายตาเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของแสงที่เปลี่ยนจากสีชมพู แดง จนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้นสูง และสาดแสงสว่างจ้าลงสะท้อนผิวน้ำหรือแผ่นกระจกนับพันนับหมื่นแผ่นจนเกิดแสงสีขาวที่น่าอัศจรรย์  บรรดาช่างภาพจีนเรียกกันว่า Buddha Light ช่างภาพที่ยังยืนหยัดคอยอย่างยาวนานก็ยังบันทึกภาพต่อไปไม่หยุดยั้ง และถ้ามีเวลาตลอดทั้งวันก็สามารถลงไปเที่ยวชมหมู่บ้านชาวฮาหนีด้านล่างที่สร้างด้วยดินซ่อนตัวอยู่ในสุมทุมพุ่มไม้

      มุมถ่ายภาพนาขั้นบันไดหยวนหยางนั้นยังมีอีกตั้งมากมายโดยเฉพาะการถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นในแต่ละวันก็จะไม่เหมือนกันแปรเปลี่ยนไปตามสภาพภูมิอากาศ ในความรู้สึกของช่างภาพหยวนหยางเสมือนเมกกะของการถ่ายภาพทิวทัศน์ที่งดงามได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

china_yuanyang_09.JPG
china_yuanyang_03.JPG

© 2018 by Truenaturephotos. All Rights Reserved

bottom of page