
บทความ
ล่องแยงซี...พิชิตบู๊ตึ๊ง
ผศ. นพ. พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์...เรื่อง
คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...ภาพ
แล้วในเดือนพฤศจิกายน ช่วงปลายของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่กำลังจะเข้า
ฤดูหนาว คณะของเราก็ออกเดินทางเพื่อที่จะไปล่องมหานทียิ่งใหญ่เรืองนามที่มีชื่อว่า “ฉางเจียง” และรู้จักกันทั่วไปในนาม "แยงซีเกียง" โดยออกเดินทางจากเมืองฉงชิ่งไปตามลำน้ำอันยิ่งใหญ่จนถึงเมืองอี๋ชาง ชมความยิ่งใหญ่ของเขื่อนไตรผา หรือ "ต้าซานเสีย" จากนั้นก็ไปเยี่ยมเยือนบ้านเกิดของ "จู-
เก๋อเหลียง" มหาเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่ในยุคสามก๊ก ที่คนไทยรู้จักกันในนาม "ขงเบ้ง" ก่อนที่จะขึ้นสู่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาเต๋าที่มีชื่อว่า "หวู่ตางซาน" หรือ “ไท่เหอซาน" ที่คนไทยเรานิยมเรียกว่า “บู๊ตึ๊ง" ตามนวนิยายกำลังภายในที่ขึ้นชื่อ คือ "มังกรหยก" ซึ่งเขียนโดยปรมาจารย์กิมย้ง และได้กล่าว

ถึงปรมาจารย์ทางหมัดมวยชื่อ “เตียซำฮง” จนเป็นต้นตำรับนวนิยายกำลังภาย ในในยุคต่อมา
ปัจจุบันมีบริษัททัวร์หลายแห่งจัดการเดินทางในเส้นทางนี้ แต่เราเลือกไปกับบริษัทแกรนด์ทัวร์แอนด์เทรด ซึ่งคุณอนันต์ หรือที่พวกเราเรียกจนติดปากว่า "เถ้าแก่หลี่" เจ้าของทัวร์จะกรุณาเดินทางไปเป็นหัวหน้าคณะให้ทุกครั้ง จนน่าจะกลายเป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปแล้ว
และการเดินทางครั้งนี้ก็แสนจะประทับใจด้วยบริการของการบินไทยที่ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงก็ไปถึงเมืองเฉิงตู มณฑลซื่อชวน หลังจากพักผ่อน 1 คืน พวกเราก็ออกเดินทางไปเมืองฉงชิ่ง แน่นอนว่าได้มาท่องเที่ยวแถบนี้แล้ว ถ้าไม่แวะเยี่ยมชมความงามของผาหินสลักแห่งต้าจู๋ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ก็เหมือนจะมาไม่ถึง

ผาหินสลักต้าจู๋ได้รับการรังสรรค์แกะสลักบนภูเขาทั้งห้า อันได้แก่ เป่ยซาน เป่าติ่งซาน หนานซาน สือจ้วนซาน และสือเหมินซาน ซึ่งประกอบด้วยหินแกะสลักที่หน้าผาหินในระดับความสูงต่างๆ กันกว่า 75 จุด รวมกว่าแสนชิ้น เป็นประติมากรรมที่เริ่มสลักมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์ถัง และต่อเนื่องมาจนถึงราชวงศ์ซ่งเหนือและซ่งใต้ จุดเด่นคือรูปสลักมีความอ่อนช้อย คงสภาพความงามและสีสันเหมือนเดิม รวมทั้งยังเป็นภาพแกะสลักที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดของหลายศาสนารวมกันอย่างประสานกลมเกลียว ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธนิกายตันตระ ศาสนาเต๋า และหลักคำสอนของขงฝู่ ที่เรารู้จักกันในนาม “ขงจื้อ” นั่นเอง รูปสลักที่มีความสำคัญและมีชื่อเสียง คือ รูปสลักพระธรรมบาล ณูปกาลจักร หรือวัฏฏสงสาร รูป
พุทธชาดกต่างๆ และรูปเจ้าแม่กวนอิมสหัสเนตร สหัสหัตถ์ รูปพระไสยาสน์ปางปรินิพพาน รูปพระโพธิสัตว์ต่างๆ รูปพระคุณบิดามารดาผาหินสลักต้าจู๋นี้ถือเป็นงานจำหลักพุทธคูหายุคสุดท้ายของจีน ซึ่งสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องไปทัศนาและเยี่ยมชมเมื่อมีโอกาส ประเภทที่เรียกว่า...ครั้งเดียวนั้นไม่พอ
หลังจากรับประทานอาหารค่ำ คือหม้อไฟฉงชิ่งที่ขึ้นชื่อลือชาแล้ว พวกเราก็ลงเรือสำราญล่องแม่น้ำแยงซีเกียงอันยิ่งใหญ่ โดยลงเรือที่ท่าเมืองฉงชิ่ง เรือสำราญระดับห้าดาวนี้มีขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุดในแม่น้ำแยงซีเกียง ชื่อว่า "เซ็นทูรี ไดมอนด์" มี 5 ชั้น ยาว 110 เมตร กว้าง 17 เมตร ห้องพักทุกห้องมีระเบียงส่วนตัวและมีห้องน้ำในตัวเหมือนห้องพักในโรงแรมห้าดาว ห้องอาหารก็ใหญ่โตโอฬาร ที่สำคัญอาหารอร่อยถูกปากทุกมื้อ และพนักงานต้อนรับก็ทั้งหนุ่มหล่อและสาวสวย แถมผู้ที่ดูแลกลุ่มเราสามารถพูดภาษาไทยได้ด้วย เรียกว่าสุดยอดจริงๆ
ช่วงของแม่น้ำแยงซีเกียงที่เราจะล่องเรือสำราญนี้เป็นขาล่องในช่วงที่งดงามที่สุด คือช่วงที่เรียกว่า "ไตรโตรกแห่งแยงซี" หรือ "ฉางเจียงซานเสีย" ที่มีช่องเขาแคบที่มีความงดงามแตกต่างกันทั้งสามโตรกผา อันได้แก่ "ฉวีถังเสีย" หรือโตรกเสียงสนั่น เป็นช่วงที่แคบที่สุดของแม่น้ำแยงซีเกียง น้ำที่ผ่านช่องแคบด้วยความเร็วทำให้เกิดเสียงดังสนั่นในอดีต แต่เมื่อมีการสร้างเขื่อนยักษ์ต้าซานเสียแล้วน้ำก็ไหลช้าลง จึงไม่ได้รับฟังเสียงสนั่นดังกล่าว โตรกผาที่เหลือคือ "วูเสีย" หรือโตรกแม่มด ที่มีความงามมากที่สุด ก่อนที่จะผ่าน "ซีหลิงเสีย" โตรกสุดท้ายที่มีความยาวมากที่สุดถึง 76 กิโลเมตร ซึ่งมีลำธารเล็กๆ ชื่อว่า "เสินหนงซี" ที่เป็นลำน้ำแคบๆ ลัดเลาะไปตามเหลี่ยมของภูผาสูงชัน น้ำใสสะอาด ในช่วงที่น้ำนิ่งจะเหมือนกระจกเงาที่สะท้อนภาพความงามของทิวทัศน์ รวมทั้งชีวิตริมลำน้ำ บางช่วงจะผ่านบริเวณภูผาชันที่มีการนำเอาโลงศพไปวางไว้ตามธรรมเนียมโบราณ และเมื่อเดินทางเข้าไปจนถึงเกือบปลายทางลำธารนี้ ก็จะมีการถ่ายลงเรือเล็กที่อาศัยแรงคนพายเพื่อเข้าไปในส่วนลึกของลำน้ำที่ยังคงเต็มไปด้วยความสมบูรณ์ของป่าไม้นานาพรรณ
ในแสงแดดยามบ่ายคล้อย พวกเราได้ล่องเรือลำเล็กที่ใช้แรงคนแจว แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องลงมาให้ความนุ่มนวล ภาพที่เห็นเมื่อรวมกับเสียงเพลงที่ขับร้องด้วยท่วงทำนองที่สดใสในสำเนียงของคนท้องถิ่นจากสาวน้อยมัคคุเทศก์แล้ว ใครที่อยู่ในบรรยากาศดังกล่าวคงจะนึกเหมือนกันว่าได้เดินทางย้อนอดีตเข้าไปยังดินแดนที่เป็นสรวงสวรรค์บนพื้นดิน
พวกเราจบการเดินทางล่องมหานทีแยงซีเกียงด้วยการลงเรือที่เมืองอี๋ซาง ใต้เขื่อนต้าซานเสีย เขื่อนยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเดินทางไปชื่นชมความงามของภูมิทัศน์เหนือเขื่อน ซึมซับความยิ่งใหญ่ของการก่อสร้างที่แสดงถึงความร่วมแรงร่วมใจของทุกคนที่อยู่

ในโครงการ จากนั้นจึงเดินทางเข้าเมืองเพื่อลิ้มลองรสอาหารที่ปรุงจากปลาพื้นเมืองที่มีอยู่เฉพาะบริเวณนี้เท่านั้น ปลาดังกล่าวเป็นปลาสีขาวที่มีลักษณะเหมือนปลากดเผือก แต่รสอร่อยและไม่คาว แถมไม่มีกลิ่นดินโคลนจากท้องแม่น้ำด้วย
อิ่มหนำสำราญแล้วพวกเราก็ออกเดินทางต่อไปยังภูเขาบู๊ตึ๊ง ไฮไลต์ของทริปนี้ ระหว่างทางได้แวะเยี่ยมสถานที่ที่น่าจะเป็นที่พักของท่านมหาเสนาบดีจูเก๋อเหลียง หรือขงเบ้ง เมื่อครั้งที่พำนักกายอยู่ในกระท่อมบนภูเขาโงลังกั๋ง เพื่อรอคอยพระเจ้าเล่าปี่มาเชิญไปเป็นมหาเสนาบดี สถานที่ดังกล่าวมีศาลเจ้าขงเบ้งเป็นสง่า และมีบ่อน้ำโบราณอายุเป็นพันปี ซึ่งกล่าวว่ามีมาตั้งแต่ครั้งเมื่อจูเก๋อเหลียงยังใช้ชีวิตอยู่ที่นี่

แล้วพวกเราก็ออกเดินทางไปยังภูเขาบู๊ตึ๊ง คืนนั้นก่อนที่จะไปถึงมีพายุหิมะที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปีมาตกที่บริเวณภูเขาบู๊ตึ๊งจนกระเช้าขึ้นยอด เขาทำงานไม่ได้ แต่เขาว่าถ้าคนเรามีวาสนากัน เมื่อถึงเวลาฟ้าก็เปิดให้ รุ่งเช้าหลังจากพายุหิมะหายไป ภาพของความงามบนภูเขาบู๊ตึ๊งนั้นเหมือนกับอยู่ในสรวงสวรรค์ ภาพของเมฆขาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าสีสดใส ดวงอาทิตย์เริ่มฉายแสงส่องเอาความร้อนลงมากระทบความเย็นของหิมะ มีสายหมอกไหลเหมือนระลอกคลื่นอยู่ทั่วหุบเขา ต้นไม้น้อยใหญ่มีน้ำแข็งใสแจ๋วเกาะจับ เมื่อสะท้อนกับแสงจากดวงอาทิตย์แล้วก็เหมือนประกายเพชรที่สาดส่องออกมาให้ความงามอย่างยากที่จะลืมเลือน
ภูเขาบู๊ตึ๊ง หรือ "หวู่ตางซาน" ตั้งอยู่ในเขตเมืองสือเอี้ยน จัดเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาเต๋า เล่าสืบกันมาว่าเป็นที่บำเพ็ญตบะของเทพเจ้าเสวียนหวู่ ที่ผู้นับถือศาสนาเต๋าถือว่าเป็นดินแดนสุขาวดี เป็นแหล่งฝึกวิชาและบำเพ็ญญาณของนักพรต นอกจากนี้ ในรัชสมัยซ่งเหนือได้มีปรมา- จารย์ทางหมัดมวยจีนที่ชื่อว่า "จางซานเฟิง" หรือ "เตียซำฮง" เป็นผู้ให้กำเนิดและก่อตั้งสำนักหมัดมวยบู๊ตึ๊งขึ้นเป็นคู่แข่งของสำนักเส้าหลินที่อยู่ทางเหนือ
ภูเขาบู๊ตึ๊งนอกจากจะมีความงามตามธรรมชาติแล้ว ตำหนักต่างๆ ทางศาสนาเต๋าที่ก่อสร้างกระจัดกระจายอยู่ทั่วอาณาบริเวณของขุนเขา
ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ก็ได้รับการก่อสร้างอย่างสวยงามตามสถาปัตยกรรมในยุคนั้น และมีการวางฮวงจุ้ย รวมทั้งก่อสร้างให้กลมกลืนกับธรรมชาติโดยไม่มีการทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็น่าจะเป็นวิสัยทัศน์และภูมิปัญญาของคนโบราณที่ทำให้การเยี่ยมชมความงามต่างๆ นั้นเกิดความสุขและชื่นชมกับธรรมชาติ โดยเฉพาะตำหนักทองที่อยู่บนยอดจินจิ่ง เป็นความงามที่ยากจะสัมผัส เนื่องจากมีหมอกปกคลุมชั่วนาตาปี แต่แน่นอนว่าเมื่อมีวาสนา ฟ้าก็เปิดให้พวกเราได้ชมความงามอันน่ามหัศจรรย์ดังกล่าวไว้เป็นความประทับใจไปตลอดชีวิตนี้
เขาว่าร้อยพันคำพูดข้อเขียนก็สู้ภาพที่เห็นไม่ได้
เพราะภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพของสวรรค์บนแดนดิน
เป็นการเดินทางอีกหนึ่งทริปที่เป็นที่สุดของที่สุด
และเป็นที่ที่นักเดินทางทุกคนจะต้องไป





