
บทความ
ตูนีเซีย ดินแดนอารยธรรมของคาร์เธจ
คุณประสม ปริปุณณานนท์...เรื่อง
คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...ภาพ
ในอดีตดินแดนที่อยู่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยังมีชนเผ่าเซมิติคพวกฟีนีเชียน ซึ่งเป็นชนเผ่าที่อพยพมาจากบริเวณทะเลทรายอาระเบีย ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ในบริเวณภูเขาเลบานอนทางด้านตะวันตก และหันหน้าออกไปทางทะเล จึงทำให้ชนเผ่านี้กลายเป็นนักเดินเรือที่เก่ง รวมทั้งเป็นพ่อค้าซึ่งมีการค้าขายตามเมืองต่างๆ ทางด้านชายฝั่งทะเล และได้ตั้งเมืองที่สำคัญหลายเมือง คือ ไทร์ ไซดอน และไบบลอส ซึ่งได้ผลิตงานหัตถกรรมต่างๆ ที่สวยงามส่งเป็นสินค้าออกไปขาย เช่น ขนสัตว์ย้อมสีจากเปลือกหอยที่มีอยู่ตามชายฝั่งทะเล นอกจากนั้นยังใช้ฝีมือในการประดิษฐ์เครื่องเรือน เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ จากไม้ซีดาร์ของเลบานอน รวมทั้งยังมีเครื่องเหล็ก เครื่องแก้วต่างๆ ด้วย
นอกจากนั้น พวกฟีนีเซียนยังออกเดินทางไปตั้งเมืองกาดิส ที่ริมฝั่งของประเทศสเปน ด้านมหาสมุทรแอตแลนติก และที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ในประมาณปี 814 ก่อนคริสตกาล เจ้าหญิงเอลิสซา ดิโด ได้ตั้งเมืองคาร์เธจขึ้นในบริเวณริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่อยู่ทางด้านเหนือของแอฟริกา ซึ่งต่อมา เมืองคาร์เธจนี้ได้กลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญของโรมันในราว 300 ปีก่อนคริสตกาล และต่อมาจึงได้เกิดการสู้รบกัน ซึ่งมีหัวหน้าที่ยิ่งใหญ่ชื่อฮานนิบาลเป็นผู้นำกองทัพที่สำคัญ
เมื่อประมาณ 265 ปีก่อนคริสตกาล โรมอยู่ในฐานะที่ทัดเทียมกับคาร์เธจ เป็นหนึ่งในมหาอำนาจของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อโรมกัคาร์เธจ เผชิญหน้ากัน ได้เกิดสงคราม 3 ครั้ง ที่เรียกว่าสงครามพูนิค
สงครามพูนิคครั้งแรกเกิดเมื่อปี 246-241 ก่อนคริสตกาล ครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อปี 218-201 ก่อนคริสตกาล สองครั้งแรกกินเวลานานและรุนแรงมาก โรมพ่ายแพ้ในการรบหลายครั้ง แต่ก็อดทนจนได้ชัยชนะในการรบครั้งสุดท้ายเมื่อปี 149-146 ก่อนคริสตกาล จนถึงปี ค.ศ. 201 เมื่อโรมันล่มสลาย ทำให้คาร์เธจเป็นเอกราช
ในศตวรรษที่ 7 บริเวณแถบนี้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาหรับอิสลาม และพวกเบอร์เบอร์ได้เข้ามามีอำนาจและปกครองอยู่จนถึงศตวรรษที่ 16 ก็ได้นำเอาวัฒนธรรมต่างๆ และวิถีชีวิตมาเปลี่ยนแปลงระบบของโรมันที่เป็นคริสเตียน จนถึงปลายศตวรรษที่ 12 บริเวณนี้ก็เป็นที่รู้จักกันในนามของตูนีส หรือตูนิเซีย
ช่วงปี ค.ศ. 1534 โจรสลัดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้เข้ามายึดครองเมืองตูนีส แต่ในปีต่อมาก็ถูกขับไล่ออกไปโดยทหารสเปน จากนั้นสเปนก็เข้าครอบครองตูนีส จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1574 กองทัพของจักรวรรดิออตโตมานก็รุกเข้ามาและขับไล่สเปนออกไป ทำให้ตูนีสตกอยู่ในการปกครองของออตโตมานจนถึงปี ค.ศ. 1881 ต่อจากนั้นกองทัพของฝรั่งเศสก็เข้ามายึดครอง
ต่อมา นานาชาติได้บีบบังคับให้ฝรั่งเศสคืนอิสรภาพและอำนาจอธิปไตยให้กับตูนิเซียในปี ค.ศ. 1956 และในวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1957
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวของตูนิเซียนั้นกระจายอยู่ตั้งแต่บริเวณตอนเหนือซึ่งอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ลงไปถึงบริเวณตอนใตซึ่งเป็นพื้นที่ทะเลทราย สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญตามภาคต่างๆ เช่น
บริเวณเมืองหลวงและปริมณฑล
เมืองเก่าตูนีส เป็นตัวเมืองเก่าแก่ มีสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม ย้อนกาลเวลาสู่เขตที่ผู้คนยังสวมชุดยาวกรอมเท้า ใส่หมวกทรงกลมสีแดงเข้ม นั่งดูดมอระกู่ จิบชาสะระแหน่หรือกาแฟข้นเลื่องชื่อ เมืองนี้ได้รับคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1979
เมืองใหม่ตูนีส ซึ่งฝรั่งเศสสร้างไว้ ถูกออกแบบให้เป็นตาราง มี ถนนหนทางเป็นสี่เหลี่ยมเป็นระเบียบเรียบร้อยปลูกต้นไม้ไว้สองข้างทาง ตัวตึกมีส่วนยื่นออกมา และประตูหน้าต่างทำด้วยไม้เป็นบานเกล็ด
พิพิธภัณฑ์บาร์โด เป็นสถานที่ซึ่งรวบรวมรายละเอียดในอดีต
ของตูนิเซีย เคยเป็นพระราชวังของเจ้าผู้ครองนครในช่วงศตวรรษที่ 18-19 โดยเน้นที่ยุคโรมันรุ่งเรืองก่อนคริสตกาล ผ่านยุคคริสเตียนแห่งไบแซนไทน์ ต่อเนื่องถึงยุคอิสลามในราวศตวรรษที่ 13 เป็นต้นมา สิ่งที่น่าสนใจ คือ โมเสกประดับพื้นซึ่งขุดค้นมาได้จากทั่วประเทศ พิพิธ ภัณฑ์แห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงโมเสกที่ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด และสวยที่สุดในโลก


อุทยานประวัติศาสตร์คาร์เธจ มีโบราณสถานหลายแห่ง เช่นเมืองบนเนินเขาไบร์ซา ซึ่งโรมันได้สร้างทับเมืองเก่าที่ตนทำลายลง
ที่อาบน้ำร้อนแอนโทนีน เป็นสถานที่สำคัญในยุคที่โรมันปกครอง คาร์เธจ เป็นสถานที่อาบน้ำที่มีขนาดใหญ่โตเป็นอันดับ 3 ของอาณา จักรโรมัน
ซิดิ บูซาอิด เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขาติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดในตูนิเซีย เพราะไม่เพียงแต่ทำเลที่ตั้งเท่านั้น สิ่งปลูกสร้างยังได้รับอิทธิพลและอารยธรรมแบบแขกมัวร์ บ้านหรือรีสอร์ตริมทะเลจะทาตัวบ้านด้วยสีขาว ตัดกับประตูและหน้าต่างสีฟ้า เป็นเมืองแห่งแกลเลอรีและศูนย์รวมงานศิลปะของศิลปินชื่อดังในอดีต
ภาคเหนือ
บุลลา เรเจีย เป็นเมืองโบราณที่มีสิ่งก่อสร้างรูปแบบของอารธรรมโรมันในยุคของฮาเดรียนิก ซึ่งมีการตกแต่งด้วยโมเสกที่สวยงาม มีการขุดค้นพบฟอรัม ที่มีบันไดล้อมรอบทั้งสามด้าน นอกจากนั้นยังมีโรงมหรสพแบบครึ่งวงกลม วิหารในรูปแบบของโรมัน ที่อาบน้ำเมเมียน โบสถ์วิหาร เป็นต้น


ภาคกลาง
ดุกกา เป็นแหล่งอารยธรรมโบราณของโรมัน ซึ่งองค์การยูเนสโกได้รับรองขึ้นเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1997 ในบริเวณพื้นที่ประมาณ 3 ตารางกิโลเมตร โรมันได้สร้างสถานที่ต่างๆ มากมาย เช่น โรงละครครึ่งวงกลม เป็นสิ่งก่อสร้างที่สวยงามและน่าชมมากที่สุดของแอฟริกาเหนือ โบสถ์วิหาร มีเสาสูงอยู่ด้านหน้า ภายในเป็นที่สถิตของเทพเจ้าจูปิเตอร์ โรงอาบน้ำ ซึ่งขุดค้นพบถึง 3 แห่งด้วยกัน ฯลฯ
เมืองไคราวัน ก่อตั้งโดยชนชาติอาหรับเมื่อราวปี ค.ศ. 670 ชื่อเมืองเป็นภาษาอาหรับ มีความหมายว่า “เมืองแห่งป้อมปราการ” เมืองนี้มีความสำคัญทางด้านศาสนาอิสลาม รองลงมาจากเมืองเมกกะ เมดินา และเยรูซาเลม จึงได้รับความสนใจจากชาวมุสลิมในประเทศต่างๆ ทั่วโลกเดินทางมาเยือน มีสุเหร่าศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ในเมืองนี้ จนได้รับสมญานามว่า “เมืองแห่ง 50 สุเหร่า” ด้วย นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางทางการค้างานฝีมือทอพรมขนสัตว์ และได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1988
สุเหร่าใหญ่ในเมืองไคราวัน หรือที่รู้จักกันในชื่อสุเหร่าซิดิ อักบาร์ มีสถาปัตยกรรมผสมผสานทั้งโรมัน ฟินิกซ์ และอารบิก เป็นสุเหร่าเก่าแก่ที่สุดในทวีปแอฟริกาเหนือ รวมทั้งเป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอิสลาม
สุเหร่าสามประตู ตั้งอยู่ในเมืองไคราวัน ตั้งชื่อตามจำนวนประตูตรงปากทางเข้าสุเหร่า สร้างโดยนักบุญที่เดินทางมาจากสเปน ได้รับการ
ยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งในตูนิเซีย
เมืองซูสซี เป็นเมืองทางด้านตะวันออก ได้รับสมญานามว่า “อัญมณีแห่งซาเฮล” เนื่องจากเป็นเมืองที่ร่ำรวยและอุดมสมบูรณ์ด้วยไร่มะกอก อิทธิพลโรมันยังคงปรากฏให้เห็นตามซากปรักหักพัง ขณะเดียวกันก็มีป้อมปราการและสุเหร่าแบบอาหรับที่ใหญ่โตงดงาม เมืองนี้ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1988
เมืองโมนาสตีร์ เป็นอีกดินแดนหนึ่งที่มีสมญานามว่า “อัญมณีแห่งซาเฮล” นอกจากความอุดมสมบูรณ์ เมืองนี้ยังสำคัญเพราะเป็นที่ตั้งสุสานของประธานาธิบดีคนแรกของตูนิเซีย
เมืองเอลเจม เป็นแหล่งปลูกต้นมะกอกและผลิตน้ำมันให้กับโรมันในอดีต เป็นที่ตั้งของโรงละครกลางแจ้งขนาดใหญ่ที่สุดในแอฟริกาและใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก โรงละครแห่งนี้ได้รับการบูรณะและดูแลอย่างดี (ดีกว่าโคลีเซียมในโรม) แม้ว่าหินในหลายส่วนถูกนำไปก่อสร้างอาคารที่อื่นบ้าง และด้านหนึ่งถูกระเบิดในปี ค.ศ. 1695 แต่ก็ยังคงสมบูรณ์ ได้รับเลือกจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1979


ภาคใต้
เมืองแมทมาทา มีชื่อเสียงในเรื่องบ้านที่อยู่อาศัย ซึ่งมีรูปแบบที่แปลกตากว่าที่อื่น คือ แทนที่จะสร้างบ้านบนพื้นดิน แต่ว่าชนเผ่าเบอร์เบอร์กลับขุดหลุมลึกลงไปเป็นปล่องโล่งตรงกลาง แล้วเจาะเป็นห้องเข้าไปเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของตูนิเซียและของโลก เป็นลักษณะเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนที่ใด
เมืองโทเซอร์ ได้รับสมญานามว่า “กุหลาบแห่งทะเลทราย” และ “ประตูสู่ทะเลทรายซาฮารา” โทเซอร์เป็นเมืองในโอเอซิส มีต้นปาล์มให้ร่มเงา และมีอินทผลัมที่ดีที่สุดของตูนิเซีย ในอดีตจัดว่าเป็นโอเอซิสขนาดใหญ่ในทะเลทรายซาฮารา เป็นเมืองที่พักของเหล่ากองคาราวานที่ต้องการค้าขายสินค้ากับพ่อค้าแนวชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ถือว่าเป็นจุดเชื่อมการค้าขายก็ว่าได้
ทะเลสาบน้ำเกลือ อยู่ในจังหวัดโทเซอร์ เกิดจากการรวมตัวของแร่ธาตุเข้มข้นกับน้ำฝนที่ตกลงมาขังอยู่ในบริเวณทะเลทราย กลายเป็นทะเลสาบกว้าง บางบริเวณถูกแสงแดดเผา ทำให้พื้นทรายแห้งและแข็ง สามารถขับรถเข้าไปได้
ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมายในตูนิเซีย ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าเป็นประเทศที่ไม่มีอะไรให้เที่ยว และอาจดูน่ากลัวสำหรับบางคน ทว่าหากได้ศึกษาข้อมูล แล้วเดินทางไปเยือน คุณจะรู้ว่านี่คือดินแดนแห่งอารยธรรมที่โดดเด่นไม่แพ้แหล่งอารยธรรมอื่นใดในโลกเลย

