
บทความ
ไปปูโน่...
สัมผัสวิถีอินคา ตื่นตาติติกากา
คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...เรื่องและภาพ
การเดินทางสู่ทวีปอเมริกาใต้นั้น นับเป็นความใฝ่ฝันของนักเดินทางทั้งหลาย เพราะที่นั่นมีความหลากหลายทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรม ผมเองเริ่มเดินทางไปยังประเทศในแถบอเมริกาใต้เมื่อเกือบ 8 ปีที่แล้ว จนถึงขณะนี้เป็นครั้งที่ 5 ก็เพราะหลงใหลในเสน่ห์ของดินแดนนั้น ซึ่งแต่ละครั้งที่ไปก็จะมีความแตกต่างกันทั้งอรรถรสและกลิ่นอาย ที่นับวันจะมีการเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากกระแสโลกาภิวัตน์ แต่ถึงกระนั้นก็มีหลายจุดหลายมุมที่ยังคงหลงเหลือความดั้งเดิมให้เราสัมผัส อันเกิดจากความเข้มแข็งของวัฒนธรรมและเทศกาลต่างๆ ที่สืบทอดกันมา

การไปประเทศเปรูในครั้งนี้ถือว่าเป็นของแถมหลังจากการเดินทางเที่ยวเกาะกาลาปากอส (Galapagos) เพราะการไปเยือนอเมริกาใต้ต้องใช้เวลาในการเดินทางนานและค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ไหนๆ ก็ไปแล้ว อยู่เที่ยวเปรูต่ออีกสักหน่อยจึงถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคณะเรา
สถานที่ในเปรูที่คนไทยรู้จักกันดีนั้นหนีไม่พ้นเมืองลิมา (Lima) คูซโก (Cuzco) มาชูปิกชู (Machupicchu) เป็นต้น แต่ประเทศเปรูก็มีการพัฒนาสถานที่ขึ้นมาอีกหลายจุดท่องเที่ยว เช่น ด้านที่เป็นผืนป่าอะเมซอน และเมืองที่ยังมีวัฒนธรรมแบบอินคาหลงเหลืออยู่ คือเมืองปูโน่ (Puno) ซึ่งเป็นเมืองทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเปรู

การเดินทางครั้งนี้ ผมเริ่มต้นที่เมืองลิมา ใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่าก็มาถึงสนามบินนานาชาติ Inca Manco Capac เมืองจูเลียกา (Juliaca)
เมืองนี้อยู่ในเขตแห้งแล้ง ล้อมรอบด้วยหุบเขา มีบรรยากาศคล้ายๆ กับประเทศในแถบเคนยา แทนซาเนีย มองไปทางไหนก็มีแต่ฝุ่นอันเกิดจากฝุ่นทราย ดูๆ ไปแล้วก็ใกล้จะกลายเป็นทะเลทรายเข้าไปทุกที
จากเมืองจูเลียกาถึงเมืองปูโน่ ผมเดินทางโดยรถแท็กซี่เพื่อเข้าโรงแรมที่พัก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง เมืองนี้มีความคึกคัก เพราะอยู่ติดกับทะเลสาบติติกากา (Titicaca Lake) ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอนดีส บนชายแดนของประเทศเปรูและประเทศโบลิเวีย ด้วยความสูง 3,810 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง
การท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นการสัมผัสวิถีชีวิตของชนเผ่าที่อาศัยอยู่รอบทะเลสาบ พวกเขาผันตัวจากผู้ที่อาศัยอยู่ตามเทือกเขาแอนดีสมาเป็นชาวเกาะ โดยทำอาชีพเกษตรกรรมและปศุสัตว์ ความหลากหลายและการดำรงชีวิตจึงแตกต่างกันไป บางส่วนขายความเป็นอินคา อาศัยอยู่ตามเกาะซึ่งสร้างขึ้นจากฝีมือมนุษย์ โดยอาศัยการรวมตัวของต้นกกในการสร้างเกาะ สร้างที่อยู่อาศัย แม้แต่เรือที่ใช้ในการสัญจรไปมา ล้วนแต่ทำมาจากต้นกกทั้งสิ้น เกาะต่างๆ เช่น เกาะตากิเล เกาะแห่งพระอาทิตย์ (Isla del Sol) เกาะอูรอส ฯลฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งภายในทะเลสาบติติกากาถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ลือชื่อสำหรับผู้ที่อยากสัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนชนเผ่าด้วยการพักแบบโฮมสเตย์
การเยือนเมืองปูโน่นั้น เลือกที่พักในเมืองจะสะดวกสบาย เพราะอยู่ไม่ไกลจากแหล่งช็อปปิ้ง ร้านอาหารล้วนแล้วแต่มีการตกแต่งบรรยากาศแบบท้องถิ่น ส่วนรสชาติอาหารก็เป็นแบบสากลในราคาไม่แพง การเดินทางในตัวเมืองปูโน่ซึ่งเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากนัก ใช้รถแท็กซี่หรือสามล้อท้องถิ่นจะสะดวกมาก ค่าใช้จ่ายประมาณ 1-3 ดอลลาร์สหรัฐ.แต่หากจะไปเที่ยวตามเกาะต่างๆ ก็มีเรือโดยสารระหว่างเกาะ ค่าใช้จ่าย ต่อคน ต่อเที่ยว ประมาณ 3-8 ดอลลาร์สหรัฐ


สำหรับผม การเที่ยวเมืองปูโน่ใช้เวลา 2 คืน 3 วัน ก็เพียงพอ โดยวันแรกเป็นการเที่ยวตามเกาะต่างๆ ในทะเลสาบติติกากา ส่วนวันที่สอง เที่ยวสถานที่ต่างๆ เลียบทะเลสาบติติกากา จะได้เห็นถึงบรรยากาศของชาวอินคา ซึ่งบางส่วนยังคงดำรงชีพแบบเดิมๆ เช่น การชมตลาดท้องถิ่น เราจะเห็นการซื้อขายแกะ อัลปากา และของใช้หัตถกรรม เป็นต้น การเยี่ยมชมความงามของโบสถ์เก่าแก่สมัยเป็นอาณานิคมของสเปน ก็ได้พบว่าเขายังคงเก็บรักษาสิ่งต่างๆ ไว้เป็นอย่างดี โบสถ์ยังเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านใช้เป็นที่พบปะกัน รวมถึงใช้ในการประกอบศาสนกิจเป็นประจำ เช่น งานแต่งงาน การฉลองตามเทศกาลต่างๆ หากต้องการเที่ยวให้ได้ความรู้และความสะดวก การบริการ City Tour ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ไกด์ชาวอินคาจะทำหน้าที่พาเราท่องเที่ยวได้อย่างน่าประทับใจ
อันที่จริงถนนเลียบทะเลสาบติติกากายังเป็นถนนเชื่อมระหว่างเมืองปูโน่และเมืองหลวงของประเทศโบลิเวีย ชื่อว่าลาปาซ (Lapaz) โดยการเดินทางด้วยรถยนต์จะใช้เวลาประมาณไม่เกิน 6 ชั่วโมง และเมื่อมีโอกาสไปถึงเมืองปูโน่แล้ว ถ้าหากมีการวางแผนที่ดีอาจจะได้เที่ยวเมืองลาปาซ ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงที่สวยและมีความสูงติดอันดับต้นๆ ของโลก ส่วนตัวผมเนื่องจากตารางการเดินทางได้กำหนดไว้แล้วจึงทำให้พลาดโอกาสนี้ไป ไกด์ท้องถิ่นให้ข้อมูลว่า หากจะท่องเที่ยวเมืองปูโน่ ประเทศเปรู และเมืองลาปาซ ประเทศโบลิเวีย แบบสบายๆ ต้องใช้เวลาประมาณ 7 วัน...
ถ้ามีโอกาสกลับไปยังอเมริกาใต้อีกครั้ง แน่นอนว่าผมจะไม่ยอมพลาดการไปเยือนเมืองหลวงที่สวยและสูงติดอันดับโลกแห่งนั้น

