
บทความ
อลังการแห่งศิลานครและลอนคลื่นทะเลทราย
คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...เรื่องและภาพ
จอร์แดนเป็นประเทศที่ผมสนใจมานานแล้วเพราะเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางด้านประวัติศาสตร์ซึ่งเกี่ยวพันกับประเทศมหาอำนาจ มาพอสมควร ยิ่งช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย ในปี พ.ศ. 2523 - 2532 ที่ซัดดัม ฮุสเซ็น ใช้จอร์แดนเป็นทางผ่านในการทำสงคราม ชื่อของประเทศนี้ก็ยิ่งได้รับการกล่าวถึงมากขึ้น
จอร์แดนยังมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ส่วนใหญ่เป็นสถานที่ที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ รวมถึงทะเลแดง ซึ่งในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้จารึกไว้ว่าโมเสสได้นำชาวอิสราเอลอพยพจากอียิปต์ ข้ามทะเลแดงไปยังดินแดนคานาอัน ซึ่งเป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา ดังนั้นเมื่อสบโอกาสในช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ผมจึงเดินทางไปส่งท้ายปีเก่าในประเทศนี้โดยไม่รีรอ

Dead Sea มหัศจรรย์แห่งท้องทะเล
เดดซีคือจุดหมายแรกในจอร์แดน เดิมทีเดียวผมตั้งใจจะลงไปพิสูจน์การลอยตัวในทะเลเดดซี ที่ Guinness Book of WorldRecords บันทึกไว้ว่าเป็นจุดที่ต่ำที่สุดในโลกและมีความเข้มข้นสูงของเกลือสูงที่สุดในโลกแต่ปรากฏว่ามีเพื่อนลงไปลอยตัวเป็นแบบแล้วผมจึงเปลี่ยนใจมาทำหน้าที่บันทึกภาพเก็บความทรงจำที่ดีให้กับเพื่อนผู้ร่วมทางแทน แต่ถึงไม่ได้ลงไปลอยตัวในเดดซี ผมก็ได้เก็บน้ำทะเลใส่ขวดมาเป็นที่ระลึกเหมือนทุกครั้งที่ผมเดินทางไปยังแหล่งน้ำที่มีคุณค่าซึ่งก็ได้แบ่งปันให้เพื่อนๆ นำไปเก็บไว้เป็นที่ระลึกหรือนำไปใช้ในการประกอบพิธีกรรม ตามแต่ศรัทธาของแต่ละคน

Al Kerak เมืองแห่งสงครามครูเสด
วันต่อมา ผมเดินทางไปชมปราสาทที่มีความเกี่ยวพันกับสงครามครูเสด ซึ่งเป็นสงครามศาสนาระหว่างอิสลามกับคริสต์ ในช่วงศตวรรษที่ 11-13 ปราสาทนี้สร้างเมื่อ ค.ศ. 1142 โดย Payen Le Boutieller เพื่อเป็นเมืองศูนย์กลางของนักรบครูเสดและต่อมาในปี ค.ศ. 1187 เมืองก็ถูกโจมตีโดยกองทัพมุสลิมของซาลาดิน ซึ่งได้มีการปรับปรุงโครงสร้างขอปราสาท เพิ่มความแข็งแกร่งและความงดงามไปพร้อมๆ กัน บริเวณนี้มีความงดงามทั้งวิวทิวทัศน์และลักษณะสถาปัตยกรรม มีจุดชมวิวที่มองเห็นเมืองใหม่ที่อยู่รอบป้อมได้อย่างชัดเจน การมาเที่ยว Al Kerak ถือว่าเป็นการได้เที่ยวชมสองบรรยากาศทั้งเมืองเก่าในป้อมเครักและเมืองใหม่ที่อยู่นอก ป้อม ซึ่งมีความงามแตกต่างกัน
Petra นครศิลาสีชมพู
ไฮไลต์ของทริปนี้อยู่ที่เพตราเมืองมรดกโลกที่เกิดจากการสลักเสลาภูเขาหินทรายทั้งลูกและเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคล่าสุด เมื่อ 20กว่าปีก่อนเมืองนี้ดังมาก เพราะเป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Indiana Jones ตอนขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า ซึ่งเป็นการจุดประกายให้ผมอยากเดินทางมาเยือนที่นี่
ในอดีตเพตราคือเมืองศูนย์กลางแห่งการค้าขายและเคยเป็นเมืองใต้ปกครองของโรมันซึ่งถึงคราวล่มสลายเมื่อหมดยุคของอาณาจักรโรมันและต่อมาก็พังทลายไปเพราะการเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้งจนกระทั่งหลายพันปีผ่านไปนักสำรวจชาวสวิสคือ โจฮันน์ ลุดวิกเบิร์กฮาร์ตก็ได้มาค้นพบนครแห่งนี้และเขียนหนังสือเผยแพร่ออกไป จนโด่งดัง
เส้นทางเข้าเมืองเพตราผ่านไปในช่องเขาคดโค้งที่เกิดจากการแยกของแผ่นดินไหวเป็นหน้าผาสูงชันสองฝั่ง บางช่วงมีการปูหินกระเบื้องให้ง่ายต่อการเดินสำหรับคนที่ไม่อยากเดินก็มีรถม้าให้บริการผมเลือกเดินเข้าไปตามเส้นทางระหว่างช่องเขา ได้เห็นวิวสวยงามอลังการเต็ม ไปด้วยภาพแกะสลักก่อนเข้าไปสู่เมืองด้านใน ต้องผ่าน The Treasury หรือ Alkhazneh ซึ่งเป็นอาคารที่สลักจากหินสีชมพูด้านในมีลวดลายที่เกิดจากการทับถมของชั้นหินและมีการแกะสลักงดงามเชื่อว่าสมัยก่อนเป็นที่เก็บสมบัติ จึงเรียกอาคารนี้ว่า The Treasury เมื่อก่อนบรรดาพ่อค้าที่ผ่านจุดนี้จะต้องเสียค่าผ่านทางถือเป็นค่าคุ้มกันขบวนสินค้า ซึ่งเงินที่เก็บได้ก็จะไปรวมอยู่ในThe Treasury นั่นเอง

ผมเดินทางต่อเข้าไปในเมือง ซึ่งมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโรมัน จากนั้นก็ไปชมโรมัน เธียร์เตอร์ ที่จุคนได้ประมาณ 3 พันคนก่อนจะเดินย้อนกลับ ไม่น่าเชื่อเลยว่าตลอดระยะทาง 3-4 กม. ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนพอสมควร ผมกลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลย อาจเ ป็นเพราะว่ามีสิ่งสวยงามให้ดูตลอดทางก็เป็นได้
Aqaba และ Wadi Rum จากเมืองท่าสู่เมืองทะเลทราย
วันที่สี่ของการเดินทาง เราไปเที่ยวเมืองอะกาบา ซึ่งเป็นเมืองท่าตั้งอยู่ใกล้ๆ กับฉนวนกาซาฝั่งตรงข้าม คืออิสราเอล โดยมีทะเลแดงคั่นไว้ ที่นี่เป็นเมืองค่อนข้างทันสมัยแต่ก็มีวัฒนธรรมของจอร์แดนมากพอสมควรสิ่งที่ีน่าสนใจคือเสาธงสูงที่สุดในโลกซึ่งได้รับการบันทึกไว้ใน Guinness Book of World Records เราได้ไปล่องเรือท้องกระจกในทะเลแดง ได้เห็นปะการังสีสวยงามและความใสสะอาดของน้ำทะเลน่าประทับใจมาก จาก อะกาบาผมเดินทางต่อไปยังวาดิรัมเมืองทะเลทรายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซาฮารา ในช่วง ค.ศ.1816 - 1918 ทีอีลอว์เรนซ์ นายทหารอังกฤษได้มาช่วยชาวอาหรับกู้ชาติในสงครามประกาศอิสร- ภาพของจอร์แดนโดยใช้เมืองนี้เป็นฐานปฏิบัติการรบ ในการเที่ยวทะเลทรายครั้งนี้ เราใช้รถจี๊ปโฟร์วีลเป็นพาหนะ ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อนต้องขี่ม้า ขี่อูฐ แต่ถ้าใครอยากสัมผัสบรรยากาศการเดินทาง แบบดั้งเดิม ก็มีบริการขี่ม้า ขี่อูฐ ระยะทางสั้นๆ ให้เลือกใช้บริการ
Mount Nebo และ Madaba เมืองแห่งเรื่องราวของโมเสส
อีกสถานที่หนึ่งซึ่งพลาดไม่ได้ คือเมาต์เนโบที่เชื่อกันว่าเป็นที่ฝังศพของโมเสสบนเขานี้มีโบสถ์โบราณสร้างในปีค.ศ.300 - 400 ตั้งอยู่สิ่งที่งด งามอย่างยิ่งก็คือภาพโมเสกสีบนพื้นโบสถ์ที่บอกเล่าเรื่องราวของผู้คนในอดีตความพิเศษยิ่งกว่านั้นคือในปี ค.ศ. 2000 พระสันตะปาปาจอห์นปอล ที่ 2 ได้เสด็จมาแสวงบุญที่นี่ และได้ประกาศให้เมาต์เนโบเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ในบริเวณยังมีอนุสรณ์ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ของโมเสสที่มีลักษณะคล้ายไม้กางเขน ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นสำหรับคนที่ชอบการชมเมืองจากมุมสูง ก็มีจุดชมวิวที่ี่มองเห็นแม่น้ำจอร์แดนทะเลเดดซี เมืองเบธเลเฮมและประเทศอิสราเอล ได้อย่างชัดเจน
เมืองที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับโมเสสอีกเมืองหนึ่งคือมาดาบามีโบสถ์สไตล์กรีกออโธด็อกซแห่งเซนต์จอร์จซึ่งบนพื้นมีภาพแผนที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณรอบๆทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นับเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่สวยงามและมีคุณค่าอย่างยิ่ง
Amman และ Jerash นครสำคัญของจอร์แดน
ผมได้เที่ยวในเมืองหลวงอัมมานในวันสุดท้าย เมืองนี้ตั้งอยู่บนภูเขา มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 6,000 ปีมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย เช่นป้อมปราการแห่งกรุงอัมมาน อันเป็นศูนย์กลางดั้งเดิมของเมือง โรงละครโรมันที่จุคนได้มากถึง 6,000 คน ซากวิหารเฮอร์คิวลิสสมัยโรมัน พิพิธภัณฑ์โบราณคดี ซากพระราชวังเก่า อุมเมยาดซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิมุสลิมเมื่อครั้งอดีต
ออกจากอัมมาน ในช่วงบ่ายผมเดินทางไปยังเมืองโบราณซึ่งได้รับการขนานนามว่าเมืองพันเสานั่นคือเมืองเจอราชเป็นอดีตเมือง 1 ใน 10 ของหัวเมืองเอกด้านตะวันออกของอาณาจักรโรมันเคยถูกแผ่นดินไหวจนเมืองถล่มจมอยู่ใต้กองทรายกว่าจะค้นพบก็หลายพันปีผ่านไปสิ่งที่หลงเหลือให้เห็นในวันนี้คือซุ้มประตูกษัตริย์ เฮเดรียนและสนามแข่งม้าฮิปโปโดรมรวมทั้งยังมีโอวัลพลาซาซึ่งเป็นสถานที่พบปะชุมนุมของชาวเมืองโรงละครที่จุคนได้ 3,000 คน มาถึงโรงละครนี้แล้ว หลายคนจะไปยืนในตำแหน่งที่เป็นจุดกระจายเสียงได้ดีที่สุด เพียงแค่ส่งเสียงเบาๆ เสียงเราก็จะสะท้อนก้องไปทั่วเลยทีเดียว
จากนั้นผมเดินต่อไปยังถนนคาร์โด หรือถนนโคลอนเนด ซึ่งเป็นทางสายหลักสำหรับเข้าออกเมืองแล้วไปชมน้ำพุที่อยู่ตรงใจกลางเมืองชื่อ Nymphaeum และวิหารเทพีอาร์เทมิส ซึ่งเป็นเทพีประจำเมืองเจอราช ก่อนจะส่งท้ายจอร์แดนด้วยการเที่ยวชมตลาดในชุมชนเก่าซึ่งเต็มไปด้วยภาพวิถีชีวิตและความมีไมตรีของผู้คน ถือว่าเป็นการจบทริปอย่างมีความสุขและน่าประทับใจจริงๆ





