
บทความ
จอร์เจีย ประเทศสองทวีป (Georgia, The Transcontinental Nation)
คุณกันต์ธร อักษรนำ...เรื่อง
คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...ภาพ
จอร์เจียเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างยุโรปและเอเชีย ทั้งยังอยู่ระหว่างทะเลปิดสองแห่ง คือ ทะเลดำและทะเลแคสเปียน ด้านเหนือมีพรมแดนติดรัสเซีย ทางใต้ติดตุรกี อาร์เมเนีย และอาเซอร์ไบจาน มีขนาดพื้นที่ประมาณ 69,700 ตางรางกิโลเมตร มีประชากรราว 5.5 ล้านคน
จอร์เจียเคยเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของสภาพโซเวียตมานาน 70 ปี (ค.ศ. 1921-1991) ก่อนเปิดเผยตัวในฐานะประเทศอิสระ นาม “สาธารณรัฐจอร์เจีย” เมื่อปี ค.ศ. 1991 เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย
ผืนแผ่นดินที่ทอดยาวเป็นระยะทาง 1,200 กิโลเมตรระหว่างทะเลดำกับทะเลแคสเปียน เป็นที่รู้จักกันในนาม “ภูมิภาคคอเคซัส” ก่อนจะถูกจักรวรรดิรัสเซียยึดครอง ดินแดนแถบนี้ทำหน้าที่เป็นจุดแวะพักบนเส้นทางระหว่างทวีปยุโรปกับเอเชีย โดยมีเส้นทางสายไหมอันลือเลื่องเส้นเดิมทอดผ่าน
ว่ากันว่า “เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่การเดินทางจากทะเลหนึ่งไปยังอีกทะเลหนึ่ง ผู้คนต้องใช้วิธีพายเรือจากทะเลอะซอฟขึ้นเหนือไปตามแม่น้ำดอน แบกเรือข้ามที่ราบอันกว้างใหญ่ จากนั้นก็ล่องเรือไปตามแม่น้ำวอลกาสู่ทะเลแคสเปียน กระทั่งเมื่อรัสเซียเริ่มสร้างทางรถไฟผ่านภูมิภาคคอเคซัสในศตวรรษที่ 19 เราจึงสามารถเดินทางข้ามภูมิภาคนี้ได้โดยตรงมากขึ้น” (ข้อมูลจากเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย 11 ตุลาคม 2553)
เราเดินทางมาจอร์เจียในช่วงฤดูร้อน เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2012 นครทบิลิซิ เมืองหลวงของจอร์เจียกำลังสร้างเสริมปรับปรุงอาคารบ้านเรือนกันครั้งใหญ่ เหมือนจะบอกเราว่า จอร์เจียกำลังตั้งต้นใหม่อีกครั้ง หลังเป็นประเทศอิสระจากสหภาพโซเวียตมาได้ 21 ปี ผ่านพ้นปัญหาการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทั้งการปฏิวัติกุหลาบ (Rose Revolution) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2003 มาจนถึงกรณีพิพาทเรื่องดินแดนอับฮาเซียและเซาท์ออสซีเชีย (South Ossetia War) ระหว่างจอร์เจียและรัสเซียในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 เวลานี้จอร์เจียกำลังฟื้นคืนตัวเองทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม เป็นเรื่องน่ายินดีที่พวกเราเป็นคนไทยกลุ่มแรกๆ ที่มาเยือนประเทศเล็กๆ แห่งนี้ในห้วงเวลาดังกล่าว

ประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของประเทศที่มีอายุกว่า 2,500 ปียังอบอวลอยู่ทุกซอกมุมของนครทบิลิซิ ใครจะเชื่อว่าจอร์เจียเป็นประเทศที่ถูกรุกรานมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก จอมทัพชื่อดังของโลกที่เรารู้จักต่างเคยยาตราทัพมาที่นี่ ทั้งกองทัพชาวกรีกของอเล็กซานเดอร์มหาราช กองทัพเปอร์เซีย อาหรับ กองทัพเติร์กของจอมจักรพรรดิติมูร์ มาจนถึงกองทัพมองโกลของเจงกีสข่าน แต่ทบิลิซิก็ยังเก็บรักษาภาพความงามจากวันวานไว้ได้อย่างน่าชื่นชม ตึกสูงใหญ่ระฟ้าจึงแทบไม่มีให้เห็นที่นี่ โดยเฉพาะในย่านเมืองเก่า มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความอ่อนหวานของสีสันอาคารบ้านเรือนสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นที่ผสม ผสานศิลปะแบบเปอร์เซียและยุโรป อาจกล่าวได้ว่า นี่คือการบรรจบกันของตะวันออก
และตะวันตกอย่างหนึ่งในประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างสองทวีปอย่างจอร์เจีย เกิดเป็นศิลปะแบบจอร์เจียที่มีเอกลักษณ์
การเดินเล่นไปบนถนนของนครทบิลิซิ ซอกซอนไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ จึงเป็นความเพลิดเพลินใจอย่างหนึ่ง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะ โดยเฉพาะในย่านโซโลลากี (Sololaki) เขตเมืองเก่า ระเบียงไม้ที่ยื่นออกมาจากตัวอาคารทำให้ทบิลีซีดูอ่อนหวานชวนหลงใหล พาใจให้สดชื่นไปกับบรรยากาศซึ่งผสมผสานทั้งสิ่งเก่าและสิ่งใหม่ของนครที่มีประวัติยาวนานกว่า 1,500 ปีแห่งนี้
ในย่านเมืองเก่าของทบิลิซิยังเป็นบ้านของชุมชนมากมายที่อาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคน เช่น ชาวอาร์เมเนียน ชาวยิว ชาวเคิร์ด อา-เซอร์ไบจาน กรีก และอีกหลากหลายชาติพันธุ์ เราจะพบเห็นศาสนสถานสำคัญของชนชาติต่างๆ ตั้งอยู่ในชุมชนเหล่านี้ เช่น โบสถ์ของชาวอาร์เมเนียน วัดของชาวยิว (Synagogue) ที่ทำให้เราอยากเข้าไปทำความรู้จักว่าแตกต่างจากศาสนสถานของศาสนาอื่นอย่างไร
เมื่อการท่องเที่ยวเริ่มเฟื่องฟูขึ้นหลังประเทศสงบสุข ร้านค้า ร้านอาหาร และร้านกาแฟน่ารักๆ จึงผุดขึ้นมากมาย
ถนนชาร์เดนี (Shardeni Street) เป็นถนนคนเดินเส้นหนึ่งในย่านเมืองเก่า ศูนย์รวมของร้านอาหารและคาเฟ่ยอดนิยมของชาวเมือง คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่พากันมาลิ้มรสเสน่ห์ของนครเก่าแก่ท่ามกลางทิวทัศน์ของอาคารบ้านเรือนในหุบเขาแม่น้ำมิทควารี (Mtkvari) ที่สวยงามดุจภาพวาดสีน้ำ
ชื่อทบิลิซิ (Tbilisi) มีความหมายว่า ที่ตั้งอันอบอุ่น (Warm
Location) มีที่มาจากน้ำพุร้อนกำมะถัน (Sulfuric Hot Spring) ซึ่งผุดพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณริมฝั่งแม่น้ำมิทควารี แม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านหุบเขาอันเป็นที่ตั้งของทบิลิซิ แม่น้ำสายนี้มีต้นธารอยู่ในประเทศตุรกี ไหลผ่านจอร์เจีย อาเซอร์ไบจาน ไปสิ้นสุดที่ทะเลสาบแคสเปียน มีความยาว 1,500 กิโลเมตร
จากตำนานการสร้างนครหลวงที่ว่ากันว่า ชาวทบิลิซิแทบทุก
คนสามารถเล่าให้ผู้มาเยือนฟังได้ ย้อนไปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 กษัตริย์จอร์เจียร์พระนามว่าวัคตัง จอร์กาซาลี (Vakhtang I Gorgasali) เสด็จออกล่าสัตว์ในป่าแห่งหนึ่งพร้อมกับนกอินทรีคู่

พระทัย บางตำนานก็ว่าเป็นเหยี่ยว ต่อมานกอินทรีของพระองค์จับไก่ฟ้าตัวหนึ่งได้ เกิดการต่อสู้กัน กระทั่งนกทั้งสองร่วงลงพื้นดินซึ่งมีน้ำพุร้อนพวยพุ่งอยู่ เล่ากันว่านกทั้งสองตัวสุกจนพร้อมขึ้นโต๊ะได้เลย กษัตริย์วัคตังเห็นดังนั้นก็เกิดความประทับใจ เพราะเชื่อว่าเป็นลางบอกเหตุที่ดี จึงสั่งให้ตัดต้นไม้และสร้างเมืองขึ้น ณ ที่แห่งนั้น ซึ่งต่อมากษัตริย์ดาชี อูจารเมลิ (Dachi I Ujarmeli) พระโอรสผู้ครองราชย์ต่อจากพระองค์ได้ย้ายเมืองหลวงจากมิทสเคตา (Mtskheta) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ห่างกันราว 25 กิโลเมตร มายังทบิลิซิตามความประสงค์สุดท้ายของพระบิดา ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 6 ทบิลิซิจึงเป็นเมืองหลวงของจอร์เจีย นับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน มีอายุกว่า 1,500 ปีแล้ว เราจะเห็นอนุสาวรีย์ของกษัตริย์วัคตัง จอร์กาซาลี ผู้ก่อตั้งนครทบิลิซิตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนหน้าผาเหนือแม่น้ำมิทควารี
น้ำพุร้อนที่พวยพุ่งมาจนถึงทุกวันนี้ทำให้ทบิลิซิมีโรงอาบน้ำแร่หลายแห่ง ดำเนินกิจการมายาวนานหลายร้อยปี เมื่อเดินไปในย่านเมืองเก่าจะเห็นที่ตั้งของหมู่โดมรูปทรงเตี้ย เรียกกันว่าบันยา เฮาส์ (Banya House) คือส่วนหลังคาโค้งของโรงอาบน้ำเก่าแก่ที่มีห้องอบไอน้ำอยู่ลึกลงไปใต้ดินมากมายหลายห้อง ว่ากันว่า น้ำแร่ที่นี่ดีต่อสุขภาพไม่น้อย จนใครๆ ที่มาเยือนทบิลิซิไม่ควรพลาดที่จะลองอาบน้ำแร่ในโรงอาบน้ำเหล่านี้สักครั้ง เรามาทบิลิซิในช่วงหน้าร้อน จึงไม่ได้เห็นบรรยากาศคึกคัก เพราะโรงอาบน้ำจะมีลูกค้ามากมายจนต้องต่อคิวกันยาวเหยียดในช่วงฤดูหนาว
มีเรื่องเล่าว่า สรรพคุณต่อสุขภาพพลานามัยของน้ำพุร้อนทบิลิซิดึงดูดให้ผู้พิชิตมากมายยาตราทัพมาที่นี่ ประกอบกับที่ตั้งของนครเป็น
เหมือนทางแยกของเส้นทางการค้าบนเส้นทางสายไหมที่พาดผ่านจากเอเชียกลางสู่ยุโรป ทำให้ทบิลิซิถูกรุกรานและครอบครองมาโดยตลอด ทั้งจากพวกโรมัน เติร์ก เปอร์เซีย รวมไปถึงชาวอาหรับและมองโกล
ถนนรุสตาเวลี (Rustaveli Avenue) เป็นถนนอีกสายหนึ่งของทบิลิซิที่ชวนให้เราเพลิดเพลิน บนถนนสายนี้เราจะได้กลิ่นอายแบบยุโรป ด้วยอาคารรูปทรงใหญ่โตแข็งแรง เรียงรายไปด้วยร้านค้าสินค้าแบรนด์เนมต่างๆ ขณะที่แผงขายของที่ระลึกหลายหลากพวกงานศิลปะ เช่น ภาพวาด งานปั้นดินเผา และบรรดาสินค้าพื้นเมืองสีสันสดสวยก็จัดวางอวดโฉมอยู่บนทางเท้าราวกับพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง
สุดถนนรุสตาเวลีทางด้านตะวันออกคือที่ตั้งของจัตุรัสแห่งเสรีภาพ (Freedom Square) ตั้งอยู่ใจกลางนครทบิลิซิ ล้อมรอบไปด้วยหมู่อาคาร
สถานที่ราชการและสถานทูต เสาโรมันสูงใหญ่ที่เห็นโดดเด่นสง่างามใจกลางจตุรัส คือ อนุสาวรีย์แห่งเสรีภาพ บนยอดเสาคือรูปปั้นของนักบุญจอร์จ (Saint George) กำลังฆ่ามังกร นักบุญจอร์จเป็นนักบุญคนสำคัญในตำนานของคริสต์ศาสนานิกายออร์โธด็อกซ์ ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของจอร์เจีย และยังเป็นที่มาของชื่อประเทศจอร์เจียด้วย เพราะชาวจอร์เจียให้ความเคารพศรัทธานักบุญท่านนี้มากในฐานะนักบุญผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนประเทศตามตำนานที่เล่าขานกันมา ภาพนักบุญจอร์จฆ่ามังกรยังปรากฏเป็นตราเครื่องหมาย (Coat of Arms) ของประเทศจอร์เจียด้วย

