
บทความ
ออสเตรีย...ดินแดนแห่งเสียงเพลง เขาสูง และทะเลสาบสวย
คุณอภิชาต ขนบดี...เรื่อง
คุณไพศาล เจริญจรัสกุล...ภาพ
หลังจากลงเครื่องที่แฟรงก์เฟิร์ต (เยอรมนี) ในตอนเช้าพวกเราก็ใช้ถนนหมายเลข 3 มุ่งลงใต้ไปออสเตรีย ภูมิทัศน์สองข้างทางเป็นเนินเขาสลับทุ่งหญ้าที่เขียวขจี (เพราะใส่ปุ๋ย!) อากาศกำลังสบาย ประมาณ 14 น. เศษ ก็ถึงซาลสเบิร์ก (Salzburg) ท้องฟ้าสดใสมาก ผู้คนสัญจรตามถนนกันขวักไขว่ นักท่องเที่ยวมากมายทั้งคนออสเตรียเองและชาวต่างชาติ ผู้คนทั่วโลกรู้จักซาลสเบิร์กจากภาพยนตร์เพลงชื่อก้องโลก มนต์รักเพลงสวรรค์ (The Sound of Music) ที่ใช้เมืองนี้เป็นสถานที่หลักในการถ่ายทำ
ซาลสเบิร์ก แปลว่าปราสาทเกลือ เนื่องจากพื้นที่แถบนี้มี
เกลืออยู่มาก ในสมัยโบราณมีเรือบรรทุกเกลือขึ้นล่องในแม่น้ำซาลซัค (Salzach River) ที่ไหลผ่านเมืองอยู่เป็นประจำ จึงเป็นที่มาของชื่อเมือง ซาลซเบิร์กเป็นเมืองเก่าแก่ย้อนหลังไปได้ถึงก่อนคริสตกาล จุดเด่นของซาลสเบิร์กคือเป็นจุดบรรจบของวัฒนธรรมเยอรมนีและอิตาลี ทำให้มีการแลกเปลี่ยนของสองวัฒนธรรมมาเป็นเวลาช้านาน ก่อให้เกิดรูปแบบศิลปะที่เรียกว่าบาโร้ก (Baroque) ปรากฏในสถาปัตยกรรมตามอาคารสถานที่ต่างๆ ของเมือง และด้วยการบำรุงรักษาเป็นอย่างดี เขตเมืองเก่าของซาลสเบิร์กจึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี 1996

จุดเด่นของซาลสเบิร์กที่ผู้คนนิยมไปเที่ยวชมก็คือสวนมิราเบล (Mirabell Garden) ที่อยู่ภายในบริเวณพระราชวังชื่อเดียวกัน ในสวนนอกจากพื้นที่ปลูกดอกไม้หลากสีแล้ว ยังมีรูปปั้นและน้ำพุที่งดงาม เมื่อมองจากสวนก็จะเห็นป้อมซาลสเบิร์ก (Salzburg Fortress) หรืออีกชื่อหนึ่งคือปราสาทโฮเฮนซาลสเบิร์ก (Hohensalzburg Castle) ตั้งตระหง่านบนเขาอยู่ไม่ไกลนัก ในตัวเมืองเก่าเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่งดงาม ตรอกซอกซอยที่มีกลิ่นอายของความเก่าแก่ที่ยังมีมนต์เสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย ถนนเกทรายเดกาสเซ่ (Getreidegasse) ซึ่งเป็นถนนสายเก่าแก่ที่สุดสายหนึ่งของเมืองก็เป็นที่ตั้งของบ้านเกิดโมซาร์ท คีตกวีชื่อก้องโลก จึงมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมุ่งหน้าไปเยี่ยมเยือนไม่ขาดระยะ


จุดหมายต่อไปของวันนี้อยู่ไม่ไกลจากซาลสเบิร์ก เป็นเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่ามอนด์ซี (Mondsee) ตั้งอยู่ริมทะเลสาบชื่อเดียวกัน ซึ่งแปลว่าทะเลสาบพระจันทร์ โบสถ์ที่นี่คือ Basilica St. Michael ก็ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากแต่งงานในภาพยนตร์เรื่องมนต์รักเพลงสวรรค์เช่นกัน แวะถ่ายรูปแล้วรถของเราก็วิ่งไปตามเส้นทางเลียบทะเลสาบอันงดงาม ไม่นานนักเราก็ไปถึงเซนต์วูลฟ์แกง (St. Wolfgang) ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ริมทะเลสาบวูลฟ์แกง (Wolfgangzee) ที่นี่เงียบสงบมาก คงเป็นเพราะเราไปถึงเย็นแล้ว (ทุ่มเศษ!) เดินดูบ้านเรือนร้านค้า บ้านแบบชาเล่ต์มีกระถางต้นไม้ดอกสีสดตั้งไว้ที่หน้าต่างและระเบียงทั่วไปหมด สวยงามจริงๆ สมเด็จพระเทพฯ ก็เคยเสด็จมาเยือนเมืองนี้ด้วย บรรดาของที่ระลึกที่วางโชว์ไว้ในตู้ก็มีความแตกต่างด้านการออกแบบต่างจากที่อื่น พูดง่ายๆ ดูดีมีระดับ แม้จะเย็นมากแล้ว แต่ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า ทำให้พวกเรายังเก็บภาพได้อีกมาก (นี้คือข้อดีของการไปท่องยุโรปในฤดูร้อน แต่ข้อเสียคือค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าช่วงอื่น) ที่พักคืนนี้ของพวกเราคือเมืองเชฟเฟา (Scheffau) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ที่พักเป็นโรงแรมเล็กๆ ตกแต่งสไตล์พื้นเมืองออสเตรียงามสงบในหุบเขา ใกล้กันเป็นโบสถ์อายุกว่าพันปีและยังใช้งานอยู่ (แต่ก็มีความทันสมัยของอาคารห้องประชุมและธนาคารมาตั้งประชันข้างๆ!)
เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศเย็นฉ่ำชื้นจากสายฝนเมื่อคืนที่ผ่านมา ทำให้มีหมอกปกคลุมกระจายตามยอดเขาโดยรอบ บรรยากาศที่ได้สัมผัสคือความเงียบสงบและธรรมชาติที่สบายตา วันที่สองในออสเตรียพวกเราก็ไปเที่ยวเขื่อนผลิตไฟฟ้าที่เมืองคาพรุน (Kaprun) ซึ่งกักเก็บน้ำที่ได้จากหิมะละลาย ตัวเขื่อนตั้งอยู่บนเขา ก่อสร้างตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 การขึ้นไปชมเขื่อน นักท่องเที่ยวต้องนั่งรถที่จัดไว้เป็นการเฉพาะ เนื่องจากเส้นทางคดเคี้ยวและสูงชัน หลายช่วงต้องวิ่งไปในอุโมงค์ บางอุโมงค์ก็ยาวเป็นกิโลฯๆ นับเป็นความอัศจรรย์ในการสร้างเส้นทางภายในภูเขา บางจุดมีสัญญาณไฟจราจรเพื่อควบคุมการใช้ถนนของรถที่นำนักท่องเที่ยวมาชมสถานที่


เมื่อถึงจุดหมายความงดงามของอ่างเก็บน้ำที่มีเขาสูงมีหิมะปกคลุมเป็นแบ็กกราวด์ก็ปรากฏแก่สายตา บางช่วงก็เป็นธารน้ำแข็ง จึงไม่น่าแปลกใจที่เมืองนี้ก็เป็นแหล่งเล่นสกีที่มีชื่อเสียงของออสเตรีย บริเวณเขื่อนมีมุมสวยๆ หลายจุด ทำให้สนุกกับการถ่ายรูปมาก ลงจากเขื่อนพวกเราก็แวะทานอาหารกลางวันในบรรยากาศธรรมชาติร่มรื่นของจุดแวะพักริมทาง ทำให้เจริญอาหาร ต้องขอบคุณโชเฟอร์ (คุณสอน) ที่เลือกสถานที่ได้ถูกใจ
บ่ายนี้พวกเราจะเดินทางไปตามเส้นทางถนนอัลไพน์ที่มีชื่อเสียงที่สุด คือกรอสสกลอคเนอร์ ไฮก์ อัลไพน์ (Grossglockner High Alpine
Road) ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใช้งานมาตั้งแต่โบราณ แต่สร้างเป็นถนนเมื่อปี 1930 ประมาณ 5 ปีจึงก่อสร้างสำเร็จ ถนนสายนี้มีความยาวประมาณ 48 กิโลเมตร มีโค้งแบบหักข้อศอก 36 โค้ง เส้นทางจะผ่านไปในเขตเทือกเขาที่สูงที่สุดของออสเตรียซึ่งมีหิมะปกคลุมอยู่แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อนก็ตาม ปกติแล้วถนนนี้จะเปิดให้ใช้งานเฉพาะช่วงต้นเดือนพฤษภาคมถึงสิ้นเดือนตุลาคมเท่านั้น แม้กระนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวก็ยังมีกำหนดเวลาเปิดให้บริการต่างกันไป ช่วงที่เราไป ถนนจะเปิดตอนตีห้า ปิดสามทุ่มครึ่ง แต่รถคันสุดท้ายต้องผ่านด่านก่อนเวลาปิดครึ่งชั่วโมง ดังนั้นจึงต้องวางแผนเที่ยวให้ดีหากจะมาขับรถผ่านเส้นทางนี้



